Tuesday, March 19, 2024
ArticlesCollaborationTechnology

2566 ปีแห่งการสร้าง ความยืดหยุ่น การเชื่อมโยงทีมงาน และกลุ่ม Gen Z เพื่อการทำงานร่วมกัน

คาดการณ์เทรนด์การทำงานที่เปลี่ยนไป ที่ทุกท่านควรให้ความสนใจมากขึ้นในพ.ศ. นี้ จากผลของการทำงานแบบไฮบริด ทำให้องค์กรต้องคิดภึง ความยืดหยุ่น การเชื่อมโยงทีมงาน และกลุ่ม Gen Z ในการทำงานร่วมกัน

รูปแบบการทำงานได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการใช้งานทางอินเทอร์เน็ตจากสถานที่ต่างๆ เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนเกิดโรคระบาด ไปจนถึงภาวะที่นายจ้างจำเป็นต้องจัดหากระบวนการทำงานจากทางไกลและแบบไฮบริดจากทุกๆ ที่ จนกลายเป็นรูปแบบการทำงานหลักเพื่อให้องค์กรเชื่อมต่อกันอยู่เสมอ

และในปีพ.ศ. 2566 วิธีการปฏิบัติงานจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะไม่ใช่เป็นเพียงการรับรู้ของพนักงานเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสถานที่ทำงานอีกด้วย ปิแอร์-ฌอง ชาลอง หัวหน้าฝ่ายโซลูชันการทำงานแบบไฮบริดและอุปกรณ์ต่อพ่วง ภูมิภาค APJ, HP ได้คาดการณ์เทรนด์สำหรับการทำงานที่เปลี่ยนไป ที่ทุกท่านควรให้ความสนใจมากขึ้นในพ.ศ. นี้

เทรนด์ 1: งาน หมายถึงการปฏิบัติงานแบบไฮบริดและต้องยืดหยุ่น
บทความโดย: ปิแอร์-ฌอง ชาลอง หัวหน้าฝ่ายโซลูชันการทำงานแบบไฮบริดและอุปกรณ์ต่อพ่วง ภูมิภาค APJ, HP

ในปี 2566 การทำงานแบบไฮบริด จะไม่ใช่เทรนด์อีกต่อไป แต่จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานตามปกติในทุกวัน และต้องมีความยืดหยุ่น

เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีการถกประด็นถึงความเป็นไปได้ของการทำงาน 4 วันต่อสัปดาห์ โดยรัฐสภาในประเทศสิงคโปร์เองได้ถกเถียงกันเกี่ยวกับแนวคิดดังกล่าวไปเมื่อต้นปีนี้ ได้พบว่า 2 ใน 3 ของพนักงานในสิงคโปร์ชื่นชอบ การปฏิบัติงานแบบยืดหยุ่น ที่จะเอื้อให้พนักงานสามารถควบคุมชั่วโมงการทำงานของตนเองได้ดีขึ้น

ทั้งนี้ รายงานล่าสุดของไอดีซีแสดงให้เห็นว่าพนักงานทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีความคิดที่คล้ายคลึงกัน โดยพนักงานมากกว่า 56% ในภูมิภาคนี้ต้องการลักษณะงานที่ยืดหยุ่นพร้อมออปชั่นให้เลือกการทำงานทั้งในสำนักงานและจากทางไกล ถึงแม้กระทั่งได้เกิดการแพร่ระบาดไปแล้ว

โชคดีที่เราเห็นทัศนคติที่ตอบรับต่อการทำงานแบบ ไฮบริด มากขึ้น ในการ สำรวจ WORK 3.0: Reimagining Leadership in a Hybrid World เมื่อเร็วๆ นี้ โดย Center for Creative Leadership พบว่า ผู้นำจากญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และเวียดนามเปิดกว้างมากขึ้นในการเตรียมรับกรณีที่พนักงานจะไม่ทำงานในสถานที่ทำงานถึง 100%

ทั้งนี้ สิงคโปร์ อยู่ในอันดับที่สูงที่สุด (31%) ที่ยอมรับการทำงานแบบไฮบริดและให้ความยืดหยุ่นแก่พนักงานในการทำงานได้ทุกที่ ทุกเวลา และคาดหวังให้พนักงานปฏิบัติงานในสถานที่ตลอดเวลาน้อยที่สุด

FUTURE OF WORK ACROSS COUNTRIES
Question: In the long term (next 3-5 years), what is the preferred or emerging mode of working in your organization?
ANZ=Australia and NZ; IN=India; ID=Indonesia; JP=Japan; CN=China; MY=Malaysia; PH=Philippines; SG=Singapore; KR=South Korea; SL=Sri Lanka; TH=Thailand; VI=Vietnam; OTH=Other countries; ALL=All countries ที่มา: WORK 3.0: Reimagining Leadership in a Hybrid World, Center for Creative Leadership

ถึงแม้การปฏิบัติงานแบบ ไฮบริด ไม่ได้เหมาะสมกับทุกบทบาท  แต่เห็นได้ชัดว่านายจ้างมีความคล้อยตามแนวคิดนี้มากขึ้น เห็นได้จากการสำรวจเรื่องอนาคตของการทำงานในปี 2565 ของ JLL ซึ่งพบว่า 56% ของผู้ตอบแบบสอบถามในเอเชียแปซิฟิกเปิดเผยว่า องค์กรของตนเองจะให้บริการการทำงานจากทางไกลแก่พนักงานทุกคนภายในปี 2568

เทรนด์ 2: การเชื่อมโยงทีมงานได้แบบเห็นหน้าเห็นตากัน

หนึ่งในเหตุผลที่สำคัญที่สุดเมื่อองค์กรจำเป็นต้องให้พนักงานกลับมาปฏิบัติงานที่สำนักงานคือ ต้องการให้พนักงานประสานเชื่อมโยงกับทีมงานกันได้ดีขึ้นเพื่อทำงานให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพนักงานให้ความสำคัญในเรื่องความยืดหยุ่นเป็นอย่างมาก ส่งให้องค์กรต่างๆ ต้องมองหาวิธีต่างๆ เข้ามารองรับพนักงานที่จำเป็นต้องสร้างการเชื่อมต่อที่เหมาะสมสำหรับงานที่ต้องลงมือปฏิบัติ ทั้งนี้ สำหรับสถานการณ์ที่ไม่จำเป็นต้องไปปฏิบัติงานที่สำนักงาน เรามีโซลูชันที่เหมาะสมที่สามารถช่วยให้พนักงานเห็นหน้ากันแบบเสมือนจริงได้

การลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยให้พนักงานได้รับประสบการณ์การทำงานที่เท่าเทียมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นระบบวิดีโอที่ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นซึ่งช่วยให้ผู้เข้าร่วมประชุมเห็นชัดในตำแหน่งด้านหน้าและตรงกลาง หรือระบบเสียงชั้นดีที่ไม่เพียงช่วยให้ผู้ร่วมประชุมทุกท่านได้ยินเสียงของผู้พูด และยังขจัดสิ่งรบกวนไม่ให้เล็ดลอดเข้ามาด้วย

ทั้งนี้ แพลตฟอร์มการสื่อสารเพื่อให้การทำงานร่วมกันนี้จะเอื้อให้แผนกไอทีสามารถใช้ประโยชน์จากงานแบบไฮบริดได้โดยไม่จำเป็นต้องจัดหาเครื่องมือพื้นฐานภาคเสียงและวิดีโอใหม่

การประชุมแบบเห็นหน้าเห็นตากันเป็นวิธีหนึ่งในการทำให้การปฏิบัติงานบรรลุเป้าหมาย แต่เทคโนโลยีที่เหมาะสม ความสามารถในการเชื่อมโยงเข้าถึงสมาชิกในทีมที่ทำงานในภูมิภาคและโซนเวลาที่แตกต่างกันจะช่วยแก้ปัญหางานได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

เทรนด์ 3: การเพิ่มขึ้นของ Gen Z

กลุ่มคน Gen Z หรือที่เรียกว่า Zoomers คือผู้ที่เกิดระหว่างปีพ.ศ. 2540 ถึง 2553  (ค.ศ. 1997 ถึง 2010) โดยสมาชิกที่อายุมากที่สุดในขณะนี้คือ 26 ปี และคาดว่ากำลังจะกลายเป็นประชากรประมาณ 27% ของพนักงานทั่วโลกภายในปีพ.ศ. 2568  กลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนยุคดิจิทัลอย่างแท้จริงกลุ่มแรกและไม่เคยประสบกับเวลาที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตใช้งาน

ชาวดิจิทัลเหล่านี้เข้ามาทำงานด้วยความคาดหวังที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับเทคโนโลยี และยังคาดหวังในความสัมพันธ์ทั้งส่วนตัวและในที่ทำงานอย่างจริงจังมากขึ้น คนกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับประสบการณ์การเรียนรู้เป็นอันดับแรก ให้ความภักดีต่องานน้อยมาก และมองว่าการปฏิบัติงานเป็นหนทางไปสู่ทางตัน ไม่ใช่ตัวตนของพวกเขา

ดังนั้น ผู้นำธุรกิจจึงต้องปรับตัว เพื่อรองรับความคาดหวังของกลุ่มคน Gen Z ซึ่งหมายถึง สิ่งที่คนรุ่นมิลเลนเนียลต้องการนั้นไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มคน Gen Z ต้องการ ซึ่งห่างไกลกว่ากลุ่มรุ่น Boomers ต้องการมาก

องค์กรจำเป็นต้องปรับแนวปฏิบัติเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กร การฝึกอบรมและวิธีการรักษาพนักงานให้สอดคล้องกับความต้องการและสิ่งที่คนกลุ่มนี้เรียกร้อง ในขณะที่ยังคงต้องดูแลพนักงานในรุ่นต่างๆ อีกด้วย

นายจ้างสามารถสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับพนักงานรุ่นใหม่นี้โดยพยายามทำความเข้าใจ บุคลิกในที่ทำงานของพวกเขา หรือวิธีทำงานที่พวกเขาชื่นชอบให้ดียิ่งขึ้น ไปจนถึงความคิดเห็นและปฏิกิริยาที่มีต่อนโยบายการทำงานปัจจุบันขององค์กร

นอกจากนี้ องค์กรควรใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อให้เข้าใจถึงการลงทุนและใช้เทคโนโลยีและการจัดสถานที่ทำงานที่ดีขึ้นเพื่อช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น ปัจจุบันเป็นยุคที่ผู้นำต้องให้ความสนใจในความเห็นของพนักงานมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม Gen Z หรือกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อองค์กรต้องรักษาและดึงดูดให้พนักงานรุ่นใหม่ๆ ที่มีความสามารถร่วมทำงานด้วยต่อไป

Featured Image: Image by Freepik

Leave a Response