Friday, October 11, 2024
ArticlesBlockchain

ทำความรู้จัก Tezos บล็อกเชน อัลกอริทึมแบบ Proof of Stake

ในแวดวงเทคโนโลยีการเงินการลงทุน หรือแม้แต่ในชีวิตประจำวันเรามักได้ยินคนพูดถึง Blockchain ในบทนี้ขอนำท่านไปทำความรู้จัก Tezos บล็อกเชน ที่อาศัยอัลกอริทึมแบบ Proof of Stake ที่ตลาดทุนยุคใหม่หันมานิยมใช้

อัฏฐ์ ทองใหญ่ อัศวานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SE Digital ผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลในประเทศไทยที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า “อธิบายแบบง่ายๆ บล็อกเชน ก็คือเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลธุรกรรมต่างๆ ที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูงรูปแบบหนึ่ง”

“โดยเป็นการกระจายสำเนาข้อมูลให้ทุกคนในเครือข่ายรับรู้ทำให้เกิดความปลอดภัยเพราะการแก้ไขหรือดัดแปลงข้อมูลจะทำได้ยากมากหากมีการแก้ไขทุกคนจะตรวจสอบได้ทำให้ตลาดทุนยุคใหม่นำมาใช้ในการทำธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลเพราะมีความโปร่งใสและความปลอดภัย”

อัฏฐ์ ทองใหญ่ อัศวานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SE Digital

“ลองนึกถึงการฝากถอนเงินกับธนาคารตามปกติ เราต้องมีสมุดบัญชีเพื่อบันทึกหลักฐานธุรกรรมการเบิกถอนโอนเงินของเรา ธนาคารเองก็จะมีฐานข้อมูลที่บันทึกความเคลื่อนไหวของธุรกรรมต่างๆ ของลูกค้าธนาคาร บันทึกลงในสมุดเมื่อมีการโอนเงินเข้ามาหรือออกไป ใครโอนเงินให้ใคร ก็จะบันทึกยอดปัจจุบันในบัญชีของลูกค้าทุกคนอย่างถูกต้อง”

บล็อกเชนเปรียบได้กับระบบสมุดบัญชีกลางแบบดิจิทัล

การเก็บข้อมูลบนบล็อกเชนมีข้อดีคือ สามารถแจกจ่ายสมุดบัญชีกลางที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัลให้สมาชิกในเครือข่ายทุกรายเก็บไว้ แทนที่จะเก็บไว้ที่เดียว จึงมีความโปร่งใสและมั่นใจได้ว่าการปรับแก้ข้อมูลนั้นเป็นไปได้ยาก และถ้ามีการแก้ไขใดๆเกิดขึ้นสมาชิกทุกรายที่อยู่ในเครือข่ายจะสามารถตรวจสอบข้อมูลได้

โดยธุรกรรมและข้อมูลต่างๆจะถูกเก็บรวบรวมไว้เป็น บล็อก (Block) ที่มีหลายๆ บล็อกต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ และจะต้องมีการอ้างอิงรหัสเชื่อมต่อกับบล็อกก่อนๆทำให้เกิดเป็นห่วงโซ่ (Chain) จึงเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า บล็อกเชน (Blockchain) นั่นเอง

ความปลอดภัยของบล็อกเชนเกิดจากการอ้างอิงข้อมูลของบล็อกที่เชื่อมกันโดยไม่ขาดสาย หากมีการแก้ไขข้อมูลรายการใดรายการหนึ่ง รหัสเชื่อมต่อ นี้จะพังลง ซึ่งจะทำให้การเชื่อมต่อระหว่างบล็อกที่ 1 และ 2 ขาดจากกันทันที และสืบย้อนได้ว่าในบล็อกที่ 1 เกิดการเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยทุจริต

กลไกสำคัญของบล็อกเชน

หากจะเล่าถึงการเก็บข้อมูลโดยระบบบล็อกเชนสำหรับการลงทุนแบบง่ายๆก็คือการใช้เทคโนโลยีการเก็บข้อมูลที่เรียกว่า Distributed Ledger Technology (DLT) หรือแปลเป็นไทยว่า เทคโนโลยีสมุดบัญชีแบบกระจายตัว

โดยทั้งบล็อกเก็บข้อมูลและรหัสเชื่อมต่อล้วนอยู่ในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลที่มีการแลกเปลี่ยนและเชื่อมสัญญาณข้อมูลถึงกันตลอดเวลา ดังนั้นหากเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆระบบจะตรวจพบทันที

ยกตัวอย่างเช่น สมมติมีบล็อกข้อมูลที่เชื่อมต่อกันอยู่ 10 บล็อก บล็อกทั้งสิบซึ่งอยู่ในรูปแบบข้อมูลดิจิทัลจะถูกกระจายสำเนาไปเก็บไว้ในหลายๆ ที่ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีการอ้างอิงข้อมูลระหว่างกันตลอดเวลาดังนั้นถ้าชุดข้อมูลในแหล่งไหนเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ยังมีแหล่งข้อมูลอื่นๆคอยยืนยันความถูกต้องของข้อมูล

ในปัจจุบันมีผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชนหลายรูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีคุณสมบัติและการทำงานที่แตกต่างกันจึงมีความเหมาะสมกับงานที่มีลักษณะแตกต่างกันไปด้วย หลายประเทศเริ่มนำบล็อกเชนมาใช้ในการเก็บข้อมูลที่ต้องการความมั่นคงปลอดภัยสูง

เช่นโฉนดที่ดินเวชระเบียนผู้ป่วยการเลือกตั้งฯลฯและด้วยคุณสมบัติด้านความมั่นคงปลอดภัยนี้เองบล็อกเชนจึงถูกนำมาใช้ในการทำธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลบริหารจัดการเงินดิจิทัลคริปโตเคอเรนซีซึ่งมีสกุลเงินที่หลากหลายเช่นบิตคอยน์อิเทอเรียมรวมทั้งโทเคนประเภทต่างๆ

บล็อกเชนในตลาดการเงินและการลงทุน

เมื่อมีการสร้างบล็อกอย่างต่อเนื่อง เพื่อจัดเก็บและบันทึกข้อมูล คำถามก็คือ ใครจะเป็นคนสร้างและยืนยันความถูกต้องของบล็อกเก็บข้อมูลใหม่ๆจากธุรกรรมในระบบที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา?

คำตอบก็คือให้บุคคลภายนอกมาช่วยสร้างและยืนยันความถูกต้องของบล็อกข้อมูลใหม่ โดยที่บุคคลภายนอกนั้นไม่ต้องล่วงรู้ข้อมูลการซื้อขายหรือข้อมูลธุรกรรมภายในบล็อกเลย (เหมือนการให้สร้างเฉพาะตู้เซฟเก็บเอกสารโดยไม่ต้องเห็นเอกสารในตู้เซฟนั้นว่ามีข้อมูลอะไรอยู่บ้าง) และเมื่อสร้างเสร็จก็จะได้ รางวัล หรือค่าตอบแทนสำหรับการสร้างบล็อกใหม่

จึงเป็นที่มาของกระแสการล่ารางวัลหรือเหรียญค่าตอบแทนจากการสร้างบล็อก ซึ่งในวงการจะเรียกว่า การขุดเหรียญ นั่นเองโดยบรรดานักขุดจะต้อง แข่งขัน กันแก้โจทย์สมการที่ได้รับและผู้ที่แก้โจทย์ได้เป็นคนแรกจึงจะได้รางวัล (ซึ่งคำตอบจากการแก้โจทย์สมการนั้นก็จะกลายเป็นบล็อกข้อมูลใหม่นั่นเอง)

พูดง่ายๆ ก็คือบรรดาผู้สร้างบล็อกหรือนักขุดเหรียญจะมาคอยสร้างบล็อกใหม่ๆ เพื่อให้นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถบันทึกธุรกรรมการซื้อขายกันได้อย่างปลอดภัย โดยตัวนักขุดเองจะได้ค่าจ้างจากการทำงานสร้างบล็อกเป็นครั้งๆ จึงเรียกว่าระบบ Proof of Work

แต่ทุกอย่างก็มีข้อเสีย นักขุดที่มาสร้างบล็อกในระบบ Proof of Work ต้องมีคอมพิวเตอร์ที่มีกำลังเครื่องสูงเพื่อใช้ในการประมวลผลได้เร็วกว่านักขุดคนอื่นๆและเนื่องจากข้อมูลที่อยู่ในระบบที่มีการทำธุรกรรมนี้มีปริมาณมากจึงต้องใช้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมาก

เช่นกัน นักขุดที่มีกำลังทรัพย์มักจะใช้คอมพิวเตอร์และเซิร์ฟเวอร์กำลังสูงๆทำให้เกิดความได้เปรียบนักขุดรายอื่นๆ จึงอาจเกิดความไม่เท่าเทียมและนำไปสู่ความไม่โปร่งใสที่ก่อให้เกิดการผูกขาดในการสร้างบล็อกได้

ทำให้เกิดการพัฒนาระบบการสร้างและยืนยันความถูกต้องของบล็อกรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Proof of Stake ขึ้นมาโดยผู้ที่จะเข้ามาสร้างบล็อกต้องวางมัดจำก่อนเพื่อให้ได้รับสิทธิ์ในการถูกสุ่มเลือกเป็นผู้สร้างบล็อกและเมื่อทำสำเร็จก็จะได้รางวัลเป็นค่าธรรมเนียม วิธีนี้ช่วยประหยัดพลังงานได้มากกว่า

Proof of Stake เป็นระบบกลไกที่เริ่มได้รับความนิยมในบล็อกเชนที่เกิดขึ้นมาในช่วงหลัง ข้อดีคือมีเสถียรภาพและความแน่นอนสูงกว่าแบบการแข่งกันขุดเหรียญแบบ Proof of Work อีกทั้งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วยเพราะใช้พลังงานต่ำกว่ามาก และหนึ่งในบล็อกเชนทางการเงินที่ใช้ระบบ Proof of Stake ซึ่งเป็นที่นิยมในปัจจุบัน คือ บล็อกเชนเทโซส (Tezos)

ทำไมตลาดทุนยุคใหม่ถึงหันมาใช้บล็อกเชน TEZOS

เทโซส (Tezos) คือ เครือข่ายบล็อกเชนที่สนับสนุนการทำสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) เพื่อการนำสินทรัพย์สัญญาเช่าหรือหลักทรัพย์ใดๆมาแปลงเป็นสินทรัพย์ตามสกุลเงินดิจิทัลต่างๆที่ต้องการลงทุนเช่นการออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (investment tokens) หรือหลักทรัพย์ดิจิทัล (securities tokens) เป็นต้น

โดยเทโซสยังมีฟังก์ชั่นการทำงานอื่นๆ ที่สนับสนุนธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีความสะดวกสบายและปลอดภัยกว่านอกจากนี้ เทโซสยังมีจุดแข็งเรื่องการยอมรับการสร้างบล็อกใหม่ที่ใช้อัลกอริทึมแบบ Proof_of Stake อีกทั้งยังสามารถอัพเกรดตัวเองได้อีกด้วย

มีคำกล่าวว่า “บล็อกเชนคือเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกของยุคนี้” อุตสาหกรรมต่างๆเริ่มหันมาใช้บล็อกเชนกันอย่างจริงจังแล้วในวันนี้ รวมไปถึงตลาดการลงทุนยุคใหม่ที่กำลังเข้ามาใกล้ชีวิตของเรามากขึ้นเรื่อยๆในรูปแบบของแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟน

และอนาคตของการลงทุนยุคใหม่กำลังจะมาถึงทุกคน และการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลอาจกลายเป็นเรื่องปกติที่เราทำได้ทุกวันเหมือนกับการเล่นโซเชียลมีเดียก็เป็นได้