Sunday, April 28, 2024
ArticlesColumnistSansiri Sirisantakupt

5 อันดับความสำคัญที่ CIO ต้องจัดการในปี 2023

ผู้เขียนขอสรุป 5 ลำดับความสำคัญสำหรับเหล่าผู้บริหารระดับสูง (CIO) ที่จะต้องจัดการในช่วงกลางปี 2023 ที่ประกอบด้วย การสร้างความยืดหยุ่น, การใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์, การสร้างความสัมพันธ์และแนวร่วมทางธุรกิจในองค์กร, ยอมรับสู่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล และยกระดับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์

ปี ค.ศ.2023 เป็นปีที่เหล่าผู้บริหารระดับสูง (CIO) กำลังเผชิญกับ รายการในสิ่งที่ต้องทำอันท้าทาย (Challenging to-do list) เนื่องมาจากเหล่า CIO พยายามเพิ่มประสิทธิภาพและผลประโยชน์ที่ได้รับจากเทคโนโลยีในช่วงของความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่โครงการต่างๆ ด้าน เทคโนโลยีและบุคลากรเติบโตขึ้นในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลยุทธ์ทางธุรกิจในการมุ่งเน้นไปที่ความเร็วสู่ตลาดเพื่อเพิ่มโอกาสสูงสุด สิ่งนี้ไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ในขณะที่ลูกตุ้มเศรษฐกิจได้เปลี่ยนไปสู่การควบคุมที่ต้นทุน

เหล่า CIO จะต้องหาวิธีดำเนินการต่อเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดิม ด้วยการดำเนินการที่ดีของทีมงานนั้นจะเป็นกุญแจที่สำคัญ อันรวมถึงการตอบสนองต่อความท้าทายทั้งเก่าและใหม่

ที่สำคัญเหล่า CIO ต้องประเมินกลยุทธ์ทางธุรกิจและเทคโนโลยีของตน เมื่อจำเป็นควรปรับเปลี่ยนเพื่อจัดการกับข้อกังวลทางธุรกิจ และเศรษฐกิจที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ณ ปัจจุบัน

ผู้เขียนขอสรุป 5 ลำดับความสำคัญสำหรับเหล่าผู้บริหารระดับสูง (CIO) ที่จะต้องจัดการในช่วงกลางปีนี้ (2023) ดังนี้

1. สร้างความยืดหยุ่น

ความยืดหยุ่น (Resiliency) จะมีความสำคัญสูงสุดสำหรับ เหล่า CIO จำนวนมากในปีนี้ (2023) เนื่องจากต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและการขาดแคลนบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

บทความโดย: น.อ.สรรสิริ สิริสันตคุปต์ นักวิชาการกองทัพอากาศ เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการรักษาความมั่นคงปลอยภัย ด้านอวกาศและไซเบอร์

ปีเตอร์ เคิร์กวูด ที่ปรึกษาหลักของบริษัท Zinnov เป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการและวางกลยุทธ์ระดับโลก กล่าวว่า “เทคโนโลยีจะมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างความยืดหยุ่น เนื่องจากมันฝังแน่นในทุกด้านและทุกระดับขององค์กร”

เคิร์กวูด ตั้งข้อสังเกตว่า เทคโนโลยีดิจิทัลที่สำคัญนั้น โดยเฉพาะในด้านการรักษาความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์, ปัญญาประดิษฐ์ และการเรียนรู้ของเครื่อง เป็นที่ต้องการของทุกองค์กรมานานแล้ว ซึ่งการขาดแคลนบุคลากรในปัจจุบันทำให้ความต้องการผู้เชี่ยวชาญในด้านดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น

ดังนั้นการสร้างความยืดหยุ่นโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี จะช่วยให้ CIO_นั้นคิดนอกกรอบและช่วยให้ทีมงานของตนรับมือกับความท้าทายนี้ได้ในภาพรวมขององค์กร ด้วยการมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมสามารถ สร้างแรงกระเพื่อม, ส่งเสริมบุคลากร ที่สำคัญนำมาซึ่งความพึงพอใจและประสบการณ์ที่เหนือกว่า

2. ใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์

การใช้ประโยชน์จากพลังของปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด (Generative AI) เป็นเรื่องสำคัญในวาระการประชุมของเหล่า_CIO ตามแหล่งข่าวหลายๆ แห่ง

คำถามอันดับ 1 ในปัจจุบันคือ “เราจะใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิดได้อย่างไร”

โธมัส เฟลป์ส รองประธานฝ่ายกลยุทธ์องค์กรและ_CIO บริษัท Laserfiche ผู้ที่ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการจัดการเนื้อหาขององค์กร และระบบอัตโนมัติของกระบวนการทางธุรกิจกล่าวว่า “เรื่องนี้ถูกนำเสนอโดยเจ้าหน้าที่บริหาร, คณะกรรมการ และในสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะไปที่ไหนคุณจะได้ยินเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์เชิงกำเนิด”

เฟลป์ส และผู้บริหารด้านเทคโนโลยี ย้ำว่า “เหล่าบุคลากรกำลังมุ่งเน้นไปที่วิธีใช้ประโยชน์จาก AI ทั่วทั้งองค์กร ไม่เพียงเพื่อให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างสรรค์นวัตกรรมและเปลี่ยนแปลงมากขึ้น นอกจากนี้บุคลากรยังได้รับมอบหมายให้ใช้ประโยชน์จาก AI ในลักษณะที่ปลอดภัยและมีจริยธรรม”

ซึ่งมีความจำเป็นต้องมีการพัฒนากลยุทธ์, แนวทางปฏิบัติ และนโยบายการกำกับดูแลใหม่ๆ สำหรับหลายๆ องค์กรนั้นอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินงานกันอย่างเต็มที่

3. การสร้างความสัมพันธ์และแนวร่วมทางธุรกิจในองค์กร

ฮวน เปเรซ, CIO_และรองประธานบริหารของบริษัท Salesforce กล่าวว่า “ความใกล้ชิดทางธุรกิจ (Business intimacy) ช่วยให้เหล่า CIO_เพิ่มความเกี่ยวข้องและเพิ่มความสามารถในการส่งมอบมูลค่าทางธุรกิจ เหล่า_CIO นั้นสามารถปรับปรุงความใกล้ชิดทางธุรกิจด้วยการนำทักษะและกระบวนการปฏิบัติงานใหม่ๆ มาสู่โต๊ะของผู้บริหาร”

“ซึ่งเหล่า CIO_ควรเริ่มต้นกระบวนการด้วยการทำความเข้าใจกันอย่างถ่องแท้ถึงลำดับของสิ่งสำคัญ, ประเด็นปัญหา, กระบวนการ, การลงทุน และเทคโนโลยีที่เพื่อนร่วมงานนั้นกำลังเผชิญอยู่”

“อีกทั้งจำเป็นอย่างยิ่งที่เหล่า CIO_จะต้องตระหนักถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในด้าน การขาย, การบริการ, การตลาด, การพาณิชย์, การเงิน, ทรัพยากรบุคคล, ดิจิทัลและอื่นๆ ในส่วนการปรับปรุงแนวร่วมทางธุรกิจ (Business alignment)”

“ขณะที่ขับเคลื่อนทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผล ด้วยระบบอัตโนมัติและเครื่องมือด้าน AI นั้น ถือเป็นเป้าหมายที่สำคัญในสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น”

เปเรซ กล่าวย้ำว่า ”การปรับปรุงความใกล้ชิดและแนวร่วมทางธุรกิจนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเหล่า_CIO ได้ใช้เพื่อนำทางองค์กรของตนให้ผ่านพ้นในช่วงเวลาอันท้าทาย”

Image by Freepik
4. ยอมรับสู่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

ในปี ค.ศ.2023 เหล่า_CIO คงจะต้องขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลขององค์กรต่อไป เอลิซาเบธ แฮ็คเคนสัน, CIO_และรองประธานอาวุโสของ Schneider Electric บริษัทที่จัดการด้านพลังงานและระบบอัตโนมัติ กล่าวว่า “บริษัท Schneider Electric ได้มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงกระบวนการติดตามการขาย เช่นเดียวกับทรัพยากรบุคคล”

ซึ่ง แฮ็คเคนสัน กล่าวว่า “มันเกี่ยวกับการได้เป็นหุ้นส่วนในธุรกิจ การก้าวไปสู่ความยืดหยุ่นที่มากขึ้น, ความยั่งยืนที่มากขึ้น และคุณค่าของลูกค้าที่มากขึ้น ผ่านการนำระบบการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยใช้เทคโนโลยี (CRM), ระบบการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ต้องมีการพัฒนากระบวนการร่วมกับข้อมูลทั้งหมดเพื่อให้มีศักยภาพในการแข่งขันสูงขึ้น (ERP) และระบบบริหารทรัพยากรบุคคล (HR) ที่เรียบง่ายทันสมัยมาใช้”

แฮ็คเคนสัน เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงระบบคลาวด์ของ Schneider Electric เมื่อรวมเข้ากับเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูงนั้น จะนำ บริษัทฯ ไปสู่การเป็นโรงงานและศูนย์กระจายสินค้ายุคใหม่ที่อัจฉริยะรวมทั้งปลอดภัยทางไซเบอร์ และได้เน้นว่า ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นและพร้อมสำหรับอนาคตนั้นถูกขับเคลื่อนด้วยประสิทธิภาพ

อนึ่งการแปลงไปสู่ดิจิทัล (Digitization) ยังจำเป็นสำหรับการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ โดยตั้งข้อสังเกตว่า กุญแจสู่ความสำเร็จคือ การรักษาความเป็นหุ้นส่วนที่แน่นแฟ้นและความสอดคล้องกับสายงานธุรกิจทั้งหมด ตลอดจนมองลูกค้า และบุคลากรเป็นส่วนสำคัญของความพยายามในการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลทุกครั้ง “สิ่งสำคัญ กล่าวได้คือ ต้องหาพันธมิตรที่เหมาะสมมีทัศนคติที่ดีและมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืน”

5. ปรับเปลี่ยนการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้ทันสมัย

เพื่อป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.2023 และหลังจากนี้ เหล่า_CIO ควรพิจารณาเพิ่มการลงทุนในด้านการปรับปรุงเทคโนโลยีดิจิทัลให้ทันสมัย

ฟิล เวนาเบิลส์ ผู้บริหารระดับสูงด้านการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (CISO) ของ Google Cloud กล่าวว่า กิจกรรมที่เป็นอันตราย (Malicious activity) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสังเกตได้ในปี ค.ศ.2022 ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจและจะเติบโตขึ้นในปี ค.ศ.2023

“การโจมตีทางไซเบอร์ที่มุ่งเป้าไปที่เครือข่ายของบริษัทสามารถส่งผลร้ายแรงได้ ตั้งแต่ความสูญเสียทางด้านการเงินหรือการทำลายชื่อเสียงขององค์กรในสภาพแวดล้อมของเทคโนโลยีดิจิทัลสมัยใหม่ การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์นั้นควรเป็นองค์ประกอบโครงสร้างพื้นฐานในตัว (Built-in infrastructure) ไม่ใช่ในส่วนเสริม (Add-on)”

“ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้รับในระยะยาวของการปรับปรุงเทคโนโลยีดิจิทัลให้ทันสมัยนั้น ถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งและเป็นกุญแจที่สำคัญในการบรรเทาภัยคุกคามทางไซเบอร์”

เวนาเบิลส์ เชื่อว่าระบบดิจิทัลแบบเดิมนำเสนอช่องโหว่ที่ท้าทายต่อทีมรักษาความปลอดภัย สิ่งที่สำคัญคือต้องตระหนักว่ารัฐบาลและองค์กรต่างๆ ไม่สามารถปรับเปลี่ยนการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ให้ทันสมัยได้ โดยไม่ทำการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยก่อน

“ในปัจจุบัน_CIO ที่ละเลยจากการมุ่งเน้นอย่างต่อเนื่อง และการลงทุนในการปรับปรุงเทคโนโลยี ดิจิทัลให้ทันสมัยนั้น องค์กรดังกล่าวคงไม่สามารถเห็นถึงประโยชน์ที่จะได้รับอย่างเต็มที่จากความก้าวหน้าในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์”

ข้อคิดที่ฝากไว้

สิ่งสำคัญในปี ค.ศ.2023 เป็นความพร้อมสำหรับการทำที่มากขึ้น ด้วยงบประมาณที่ถูก จำกัด (Constricted budgets) หนึ่งในนั้นเป็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะช่วยให้องค์กรขับเคลื่อนได้เร็วขึ้นสร้างความสำเร็จในการแข่งขัน

และเชื่อกันว่าปีนี้ “จะมีการมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพผ่านเทคโนโลยีอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เพียงสิ่งนี้จะช่วยให้องค์กรต่างๆ นั้นประหยัดทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด แต่ยังช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถกำหนดกระบวนการใหม่ทางธุรกิจ เพื่อช่วยให้งานซับซ้อนน้อยลงและสอดคล้องกับทิศทางของตลาดแรงงาน”

ความจริงก็คือ โลกกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและเร็วขึ้น เหล่า_CIO จำเป็นต้องเป็นผู้นำเพื่อทำให้ แน่ใจว่าองค์กรของตน….สามารถก้าวไปตามจังหวะนั้นได้

อ่านบทความทั้งหมดของ ..สรรสิริ สิริสันตคุปต์

Featured Image Image by KamranAydinov on Freepik