โอกาสและปัญหาของประเทศไทย ในการก้าวสู่ผู้นำ Data Economy
“ความท้าทายและโอกาสที่ประเทศไทยจะเดินหน้าไปสู่น่านน้ำทางเศรษฐกิจใหม่ กับการเป็นผู้นำใน Data Economy ในบทความได้วิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัยและความจำเป็นอย่าง อำนาจอธิปไตยของข้อมูล ตลอดจนประเด็นปัญหาที่ต้องรีบแก้ไข เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้า
ในรายงานเรื่อง Capitalizing on the data economy ของ MIT Technology Review Insights พยากรณ์ไว้ว่าในอนาคตอันใกล้ปริมาณข้อมูลหรือ Data จะเติบโตทวีคูณเสมือนห่าฝน โดยในปี พ.ศ.2568 จะเพิ่มขึ้นถึง 175 เซตตาไบต์ (ZB) หรือประมาณ 1,000,000,000,000,000,000,000 ไบต์ (หนึ่งพันล้านล้านล้านไบต์)
ซึ่งเป็นดาต้าปริมาณมหาศาลที่เคลื่อนไหวครอบคลุมทุกสรรพสิ่งบนโลก ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต สุขภาพ การเดินทาง การทำธุรกิจ การทำธุรกรรมหรือการเข้าถึงแหล่งคอนเทนต์ต่างๆ ตามการเติบโตของโลกดิจิทัล ซึ่งดาตาเซ็นเตอร์ทำหน้าที่เป็น House of Data ที่จัดสรรพื้นที่สำหรับจัดเก็บข้อมูล
ความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของสังคมที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทและพลวัตสูงต่อกิจกรรมทางสังคมและเศรษฐกิจออนไลน์ ทำให้ทั่วโลกหันมาให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัวและการปกป้องข้อมูลอย่างจริงจัง
นับตั้งแต่กรณีการออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ General Data Protection Regulation: GDPR ของสหภาพยุโรป ที่มีผลบังคับใช้เมื่อ 25 พฤษภาคม 61 จนถึงการบังคับใช้กฎหมาย PDPA ของประเทศไทยอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อ 1 มิถุนายน 2565
จวบจน ณ ปัจจุบัน ข้อมูลจากเว็บไซต์ของการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development หรือ UNCTAD) ระบุว่ามีถึง 137 จาก 194 ประเทศได้ออกกฎหมายเพื่อปกป้องข้อมูลและความเป็นส่วนตัว โดยภูมิภาค Asia-Pacific มีสัดส่วนการบังคับใช้กฎหมายแล้วอยู่ที่ 57%
ซึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงนี้ ส่งผลต่อการลงทุนของบริษัทข้ามชาติอย่างชัดเจน โดยยังทำให้ บริษัทข้ามชาติต่างๆ ที่ดำเนินธุรกิจอยู่หันมาตั้งเซิร์ฟเวอร์ในพื้นที่เขตอำนาจศาลและปฏิบัติตามกฎหมายถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency Laws) ที่รัฐบาลออกกฎหมายให้องค์กรต่างๆ จัดเก็บข้อมูลในประเทศ
ที่นอกจากดาต้าจะต้องถูกจัดเก็บไว้ในประเทศแล้ว ยังต้องมีการตั้งเซิร์ฟเวอร์และสำนักงานในประเทศอย่างชัดเจนด้วย อาทิ จีน รัสเซีย ซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น (ซึ่งประเทศไทย ยังไม่ได้เข้มข้นขนาดนั้น – ที่มา: Data Residency Laws by Country: an Overview – InCountry)
โอกาสธุรกิจท่ามกลางความท้าทายของกรอบกฎหมาย
ข้อบังคับด้าน การจัดการ จัดเก็บ และประมวลผลข้อมูล ยังเป็นความท้าทายสำคัญที่ส่งผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุน เนื่องจากบริษัทข้ามชาติต่างๆ ยังสับสนกับกฎหมายของแต่ละประเทศ จึงทำให้เกิดโมเดลธุรกิจที่เรียกว่า Regulation as a Services หรือ Data Residency as a Service
ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางให้คำปรึกษาและจัดการเรื่อง Data Privacy รวมถึงการตีความเอกสารข้อมูลให้เป็นไปตามข้อกำหนดของประเทศนั้นๆ โดยจับมือร่วมกับผู้ให้บริการระบบคลาวด์ (Cloud Service Provider)
3 แกนหลักสำคัญของดาต้า ที่จะนำประเทศไปสู่ Data Economy
แกนที่หนึ่ง ความมั่นคงของชาติ (National Security) กับสิทธิปกครองข้อมูลของเราเอง เนื่องจากประเทศไทยมีการบริโภคข้อมูลอย่างมหาศาล เฉลี่ยต่อวันใช้อินเทอร์เน็ตสูงกว่า 7 ชั่วโมง (อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์) ซึ่งสำหรับผู้บริโภคทั่วไป เราควรมีสิทธิ์ปกครองดาต้าของเราเอง ในขณะที่ดาต้าควรอยู่ในประเทศไทย โดยยึด กฎหมายถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data Residency Laws) ของประเทศนั้นๆ
โดย กฎหมายถิ่นที่อยู่ของข้อมูล (Data residency laws) คือ การที่รัฐบาลกำหนดให้ บริษัทต่างๆ ต้องจัดเก็บข้อมูลไว้ในดินแดนของประเทศนั้น ซึ่งโดยทั่วไปกฎหมายเกี่ยวกับถิ่นที่อยู่ของข้อมูล มุ่งเน้นไปที่ข้อมูลส่วนบุคคล (personal data)
และอาจรวมถึงข้อมูลทางภูมิศาสตร์ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลทั้งหมดดังกล่าวเป็นข้อมูลหลักสำหรับการดำเนินธุรกิจ (business needs)
แกนที่สอง หลักการความเป็นส่วนตัวสำหรับการถ่ายโอนข้อมูลส่วนตัวไปยังประเทศอื่นๆ (หรือที่เรียกว่า Safe Harbor) จะช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าระหว่างประเทศ ขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างความมั่นใจว่า
ข้อมูลจะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยในบริบทของการถ่ายโอนระหว่างประเทศ เป็นกรอบการทำงานเชิงดาต้าร่วมกันระหว่างประเทศ เปิดโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจ และเพิ่มความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศคู่ค้า
แกนที่สาม การค้าและการลงทุน (Commercial & Investment) เนื่องจาก Data is a New Oil ไม่ต่างจากพลังงาน ดังนั้นหลายๆ ประเทศจึงให้ความสำคัญในการออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับดาต้า เพื่อเพิ่มการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
อาทิ ประเทศอินโดนีเซียที่ออกกฎระเบียบว่า ดาต้าจะต้องจัดทำศูนย์ข้อมูลและศูนย์กู้คืนข้อมูลสำรองภายในประเทศ และต้องอยู่ในประเทศเท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก
โอกาสของประเทศไทย ไปสู่การเป็นผู้นำใน Data Economy
ผู้เขียนมองเห็นถึงประเด็น และตระหนักดีถึงความท้าทายและโอกาสที่จะนำพาประเทศไทยเดินหน้าไปสู่น่านน้ำทางเศรษฐกิจใหม่ โดยอ้างถึง ผลการสำรวจความเห็นของภาคเอกชนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบริการด้านดิจิทัลและซอฟต์แวร์ของ STT GDC Thailand
ซึ่งพบว่า มาตรการส่งเสริมและหลักเกณฑ์ควบคุมต่างๆ ของภาครัฐมีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนร่วมกับภาคเอกชน นอกจากนั้นการปรับนโยบายสนับสนุนเพียงเล็กน้อยก็สามารถพาประเทศไปสู่การเป็นผู้นำใน Data Economy ที่สร้างทั้งเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเข้าประเทศได้ โดยสรุปได้ดังนี้
- ภาครัฐต้องมี มาตรการพิเศษ เพื่อจูงใจผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมบริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์ ให้เลือกลงทุนในประเทศไทย (เหนือกว่าทุกประเทศในทวีปเอเชีย) ต้องมีสิทธิประโยชน์ที่เหนือกว่ากฎหมายการส่งเสริมการลงทุนทั่วไป (ทั้งกฎหมาย BOI และ EEC)
- ด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้า ที่เป็นทรัพยากรหลักในอุตสาหกรรมบริการดิจิทัลและซอฟต์แวร์ จากสถิติในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ที่ใช้พลังงานในปริมาณไม่ต่างจากอุตสาหกรรมสายการบิน หรือประมาณ 2% ของการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมดในโลก ดังนั้นนโยบายความมั่นคงด้านพลังงาน การสนับสนุนด้านการผลิตไฟฟ้า แรงจูงใจด้านราคาหรือการจัดสรรหาแหล่งพลังงานทางเลือกใหม่ๆ จึงเป็นส่วนที่สำคัญมาก เพราะพลังงานไฟฟ้า คือ ต้นทุนหลักของสรรพสิ่งในดิจิทัล
- ปรับกฎหมายหรือกฎระเบียบให้ชัด เปลี่ยนจากการกีดกันตั้งแต่แรกเริ่ม เป็นกำหนดแนวทางควบคุมการประกอบกิจการ นอกจากส่งเสริมและยังช่วยผลักดันอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวข้องกันหลากหลาย อาทิ Data Center, Automated E-Commerce, Industrial Park, E-Medical, Tourism และ 5G Smart Farming แน่นอนว่าช่วยสร้างรายได้จากการลงทุนใหม่ให้ประเทศไทยได้มหาศาล
- เทคโนโลยี คือ ฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยผลักดัน Data Economy ประกอบด้วย AI, Cloud, และเทคโนโลยีด้านความปลอดภัย (Security Technology) รวมถึง Tokenization ที่เป็นการผสมผสานความสามารถของเทคโนโลยี Blockchain บวกกับ Cryptocurrency อันนำไปสู่การสร้าง Property & Real Estate สมัยใหม่ ที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ผู้เขียนคิดว่า ถ้าประเทศไทยไม่เริ่มเก็บเกี่ยวประโยชน์จากดาต้าตรงนี้ จะทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสด้านการลงทุนใหม่ๆ ในมุมกฎหมายและการจัดทำนโยบายของภาครัฐ สามารถปรับได้ แต่ต้อง สมดุล และ ทันสมัย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมดิจิทัลให้กลายเป็นธุรกิจ S-Curve ของประเทศ
โดยมี ดาต้า เซ็นเตอร์ เป็น House of Data สำคัญ เพื่อนำประเทศไปสู่น่านน้ำเศรษฐกิจใหม่ และมั่นใจว่าผู้ให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ในประเทศไทย พร้อมสนับสนุนให้มีการจัดเก็บข้อมูล หรือ สำรอง ข้อมูลในประเทศไทยเพื่อความปลอดภัย และให้เกิดประโยชน์ด้านการลงทุนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจที่ดีขึ้นแก่ประเทศ
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวน ทุกภาคส่วนที่กำลังเดินหน้าทำ Digital Transformation การปรับตัวของภาครัฐ-เอกชน ในเชิงนโยบาย การวางแผน การลงทุน และการนำเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Data Privacy มาใช้ ล้วนเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญและส่งผลต่อการขับเคลื่อน นอกจากนี้ยังมีภัยคุกคามที่เกี่ยวข้องกับ Data Privacy ที่สร้างความเสียหายและปั่นป่วนแก่ธุรกิจเป็นระยะ
อำนาจอธิปไตยของข้อมูล (Data Sovereignty) คือสิ่งที่ทุกฝ่ายควรคำนึงถึง และนำมาใช้เพื่อช่วยให้ประเทศเดินหน้าไปตามเทรนด์โลก เนื่องด้วยข้อมูลดิจิทัลเสมือนสสารชนิดหนึ่งที่ต้องการแหล่งจัดเก็บและการเชื่อมต่อ และการจ่ายพลังงานที่มีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน
ซึ่ง ดาต้า เซ็นเตอร์ คือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่ต้องการการสนับสนุนและการส่งเสริมจากภาครัฐฯ อย่างจริงจัง ทั้งในด้านการเชื่อมต่อพลังงานทางเลือกใหม่ และการลดภาระค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้า
พร้อมคำนึงถึงมาตรฐานใน ดาต้า เซ็นเตอร์ เช่น ISO27001 ครอบคลุมเรื่องการดูแลข้อมูลภายใน การเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้ามาเยี่ยมชม แต่ดาต้า เซ็นเตอร์ ไม่ได้เป็นผู้บริหารจัดการข้อมูลที่อยู่ในเซิร์ฟเวอร์ สิทธิ์การเข้าถึง ประมวลผลหรืออื่นใดที่ทำต่อข้อมูลนั้น เป็นของเจ้าของข้อมูลที่จะใช้ประโยชน์และต้องคุ้มครองข้อมูลให้มั่นคงปลอดภัยสูงสุด