Saturday, April 27, 2024
AIArticlesEnergySustainability

AI ช่วยโลกได้อย่างไร

AI

เมื่อมีการใช้งาน AI เกิดขึ้นทั่วโลก ในทุกๆ มิติของการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจ และต้องไม่ลืมว่า AI นี่เองจะต้องเป็นตัวการสำคัญ ในการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 

นช่วง 30 ปีก่อนหน้านี้ AI แทบจะไม่ได้รับความสนใจจากคนทั่วไป ยกเว้นในโลกของวิศวกรด้านซอฟต์แวร์ จนเมื่อปีกว่ามานี่เอง ที่_AI ปรากฏตัวบนเวทีสาธารณะ และมาพร้อมกับเครื่องมือ AI เจนเนอเรชันใหม่ ที่สามารถใช้สร้างเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ภาพ และเนื้อหาอื่นๆ ได้อย่างฉลาด

ที่จริงแล้ว_AI อยู่รอบๆ เรามาระยะหนึ่งแล้ว การค้นหาเว็บแบบง่ายๆ ก็มีความเกี่ยวข้องกับ_AI หรือการใช้แชทบอท นั่นก็คือ AI แต่เราจะเห็นการเติบโตแบบทวีคูณ ก็ต่อเมื่อมีการนำ_AI มาใช้เพิ่มขึ้น และการใช้งานเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณจะกำหนดรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตที่เป็นพื้นฐานของเรา

นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบมากกับความท้าทายใหญ่ที่สุดที่มนุษยชาติต้องเผชิญอยู่ในปัจจุบัน นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิธีที่เราผลิตและใช้พลังงาน

การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้ รอ_AI

ถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ แม้ในปีที่ผ่านมาจะมีเรื่องน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับ_AI อยู่มากมายก็ตาม แต่_AI ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง และก็ไม่ใช่ตัวช่วยที่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างฉับพลันกับการจำกัดภาวะโลกร้อนให้หยุดอยู่ที่ไม่เกิน 1.5°C เหมือนช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม

ดังนั้น การเกิดขึ้นของ_AI จะต้องไม่เบี่ยงเบนความสนใจของเราจากการใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ เช่น พลังงานทดแทน ยานพาหนะไฟฟ้าและปั๊มความร้อน ตลอดจนซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติและการจัดการอาคารที่ช่วยปรับปรุงกระบวนการและการใช้พลังงานในอาคาร โรงงานอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

หากมองถึงอาคารและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งคิดเป็น ประมาณ 37% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตและพลังงานทั่วโลก ตามรายงานล่าสุดจากโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ

อาคารใหม่ทุกหลังที่สร้างขึ้นในปัจจุบันสามารถเป็น Net Zero ได้จริง โดยใช้การผสมผสานพลังงานหมุนเวียนที่มีอยู่แล้วในท้องถิ่น (เช่น พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา) รวมถึงเซ็นเซอร์และซอฟต์แวร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพกิจกรรมการใช้พลังงานได้สูงสุด

Source: United Nations Environment Programme (2022). 2022 Global Status Report for Buildings and Construction: Towards a Zero‑emission, Efficient and Resilient Buildings and Construction Sector. Nairobi

นี่ไม่ใช่นิยายวิทยาศาสตร์ที่ต้องพึ่งพาการพัฒนา_AI ในอนาคต แต่เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ที่นำมาใช้ในอาคาร IntenCity ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในเมืองเกรอน็อบล์ ประเทศฝรั่งเศส และชไนเดอร์ อิเล็คทริคยังช่วยให้อีกหลายๆ อาคารนำแนวทางนี้มาปรับใช้ด้วยเช่นกัน

ในทำนองเดียวกัน เราจำเป็นต้องเร่งนำเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานและให้คาร์บอนต่ำ มาปรับใช้กับบรรดาอาคารที่มีอยู่ในการติดตั้งเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดทั้งต้นทุน รวมถึงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากและเร็วกว่าที่หลายคนเคยรับรู้ โดยไม่จำเป็นต้องรอเครื่องมือ_AI ใหม่ เพราะเรื่องเหล่านี้สามารถทำได้ทันที

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและ_AI ช่วยลดการปล่อยคาร์บอน
บทความโดย: ปีเตอร์ เฮอร์เว็ค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ความตื่นเต้นมากมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ_AI เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เนื่องจากเมื่อจับคู่เทคโนโลยีดังกล่าว เข้ากับ AR (augmented reality) VR (virtual reality)

รวมถึง digital twins และ IoT จะยิ่งทำให้_AI ช่วยให้เราเข้าถึงประสิทธิภาพได้มากขึ้น รวดเร็วยิ่งขึ้น และเมื่อเป็นเรื่องของพลังงาน การที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นย่อมหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนที่ลดลง

ตัวอย่างเช่น ไมโครกริดเป็นเครือข่ายไฟฟ้าแบบครบวงจรที่จ่ายไฟให้กับบ้าน ธุรกิจ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ โดยใช้เครื่องกำเนิดพลังงานส่วนตัว (ตามหลักการเป็นพลังงานหมุนเวียน) และการกักเก็บพลังงานในรูปของแบตเตอรี่ โดยซอฟต์แวร์อัจฉริยะสามารถเชื่อมต่อองค์ประกอบต่างๆ เข้ากับระบบสายส่ง (Utility grids) ได้

ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและต้นทุนของพลังงาน อีกทั้งช่วยคาดการณ์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานอย่างเหมาะสมได้แบบอัตโนมัติ

ทั้งเรื่องการผลิต การกักเก็บและนำมาใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่าย ถึงเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย รวมถึงจำนวนไฟฟ้าที่ผลิตได้ ตลอดจนการปล่อย CO2

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กับ_AI และศูนย์ข้อมูล

เราจำเป็นต้องมองเพื่อให้เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่า การเติบโตอย่างรวดเร็วของ_AI และศูนย์ข้อมูลที่เป็นขุมพลังนั้น จำเป็นต้องอาศัยน้ำและพลังงาน รวมถึงมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไรบ้าง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คาดการณ์ว่าในขณะที่โลกเปลี่ยนไปสู่ระบบดิจิทัล การใช้พลังงานของศูนย์ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าภายในปี 2571 และสัดส่วนในการใช้งานที่มาจาก_AI จะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดในเวลานั้น โดยเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 8 เปอร์เซ็นต์

Source: The_AI Disruption: Challenges and Guidance for Data Center Design, Schneider Electric – Energy Management Research Center White Paper 110 Version 2.1

สิ่งสำคัญก็คือ การใช้_AI จะต้องไม่นำไปสู่ปัญหาด้านพลังงานหรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์การประมวลผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยจัดการกับความท้าทายนี้ โดยการปรับเปลี่ยนการออกแบบและการบริหารจัดการศูนย์ข้อมูล เช่น การเปลี่ยนเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์ดีเซลให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำความสะอาดสตอเรจ และใช้การระบายความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ เป็นต้น

เร่งดำเนินการด้านสภาพอากาศด้วย_AI (และที่ไม่ใช้_AI)

บางคนชอบ_AI ในขณะที่บางคนกลัว AI แต่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม พลังการเปลี่ยนแปลงของ AI นั้นยิ่งใหญ่กว่าการถือกำเนิดของอินเทอร์เน็ตในทศวรรษ 1990 เสียอีก และ_AI ก็เหมือนกับอินเทอร์เน็ต นั่นคือ จะทำงานได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อถูกนำมาใช้งานอย่างมีจรรยาบรรณและรับผิดชอบ

โดยให้ขุมพลังที่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด และถูกใช้เป็นเครื่องมือที่ให้ความคล่องตัวในการทำงาน มากกว่าที่จะเป็นเป้าหมายปลายทางของผลลัพธ์ เป็นตัวช่วยมากกว่าการนำมาทดแทนผลลัพธ์จากมนุษย์ที่จำเป็นจะต้องผ่านการรับรองคุณภาพสูงสุด

นอกจากนี้ ยังไม่ควรให้_AI มาเบี่ยงเบนเราจากการใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วในตอนนี้ เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มี_AI ก็ตาม เราก็ยังสามารถติดตั้งฟาร์มกังหันลมและสถานีชาร์จ EV ได้มากขึ้น และใช้เครื่องมือดิจิทัลที่มีอยู่ปรับปรุงวิธีการออกแบบ สร้างและดำเนินการด้านอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ มากมาย รวมถึงการบำรุงรักษา

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการใช้งาน_AI อย่างเหมาะสม_AI จะเป็นตัวเร่งที่จำเป็นและให้ขุมพลังแก่เทคโนโลยีที่มีอยู่ ช่วยเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้ ช่วยสนับสนุนความมุ่งมั่นพยายามของเราในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ