Friday, December 5, 2025
ArticlesColumnistDr.Kriengsak Chareonwongsak

ชายแดนเดือด–รัฐบาลสั่น วิกฤตไทย – กัมพูชากับเดิมพันทางการเมือง

ไทย-กัมพูชา

วิพากษ์สถานการณ์วิกฤตไทย – กัมพูชา ที่สมรภูมิชายแดนเดือด และส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล กับเดิมพันทางการเมือง กับข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลไทยต้องควรดำเนินการตาม

นับตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2568 สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาสร้างความตึงเครียดทั้งในด้านการเมืองระหว่างประเทศและการเมืองภายในของทั้งสองชาติ วิกฤตดังกล่าวส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไทย อาจนำไปสู่การ “ล้มกระดาน” และกลายเป็นชนวนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่

1. สถานการณ์ตึงเครียดที่ชายแดน

เหตุการณ์เริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2568 เมื่อทหารกัมพูชาร้องเพลงชาติที่ปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งกัมพูชาอ้างว่าเป็นพื้นที่ของตน การกระทำนี้ถูกมองว่าเป็นการยั่วยุและปลุกกระแสชาตินิยมในกัมพูชา 

สถานการณ์ปะทุรุนแรงขึ้นวันที่ 28 พฤษภาคม เกิดการใช้อาวุธเริ่มด้วยฝ่ายกัมพูชาและปะทะนานกว่า 10 นาที ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 1 รายจากฝ่ายกัมพูชา ต่อมาในวันที่ 29 พฤษภาคม มีการเจรจาเพื่อลดความตึงเครียด โดยฝ่ายไทยเสนอให้ใช้กลไกคณะกรรมการชายแดนร่วม (Joint Border Committee: JBC) เพื่อแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม ผู้นำฝ่ายกัมพูชา ยืนกรานว่าจะยื่นเรื่องต่อศาลโลกและปฏิเสธการเจรจาทวิภาคี

เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน กองทัพไทยออกแถลงการณ์ว่า สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม และนัดประชุม JBC ที่กรุงพนมเปญในวันที่ 14 มิถุนายน โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเข้าร่วมหารืออย่างเป็นทางการ

2. วิเคราะห์การเมืองภายในและระหว่างประเทศ

ผมวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ชายแดนนี้มีรากฐานจากเจตนาทางยุทธศาสตร์ “All international politics is domestic politics” การเมืองระหว่างประเทศแท้จริงคือการเมืองในชาติ เมื่อผู้นำประเทศหนึ่งต้องการแสวงหาประโยชน์ทางการเมืองภายใน ไม่ว่าจะเพื่อสร้างความชอบธรรม เสริมความนิยม หรือลดแรงเสียดทานในประเทศ การปลุกประเด็นในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นที่กระทบอัตลักษณ์หรืออธิปไตย ย่อมเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกเลือกมาใช้ได้

โดยเฉพาะฝ่ายกัมพูชา ที่มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมืองภายในประเทศ การร้องเพลงชาติและการยื่นเรื่องต่อศาลโลกล้วนเป็นเครื่องมือปลุกกระแสชาตินิยม เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับอำนาจของนายฮุน มาเนต ผู้นำรุ่นใหม่ของกัมพูชา ซึ่งสืบทอดอำนาจจากนายฮุน เซน การกระทำเหล่านี้ช่วยสร้างภาพลักษณ์ของผู้นำที่ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ เป็นกลยุทธ์ที่เคยใช้มาแล้วในอดีต เช่น กรณีเผาสถานทูตไทยในพนมเปญเมื่อปี 2546 

บริบทของไทย สถานการณ์ชายแดนนี้ถูกมองว่าเป็นการ “จัดฉาก” ที่อาจเกิดจากความร่วมมือระหว่างผู้นำกัมพูชากับบางฝ่ายในรัฐบาลไทย โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกัมพูชา เช่น พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับนายฮุน เซน มาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัยนายทักษิณ ชินวัตร ความสัมพันธ์นี้ไม่เพียงแต่เป็นมิตรภาพทางการเมือง แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ทางธุรกิจและเครือญาติ

การปลุกประเด็นชายแดนอาจเป็นความพยายามของฝ่ายการเมืองไทยในการเบี่ยงเบนความสนใจจากปัญหาการเมืองภายในที่กำลังรุมเร้ารัฐบาล เช่น กรณีงบประมาณแผ่นดิน ม.144, การเลือกตั้ง ส.ว., และคดีที่เกี่ยวข้องกับแพทยสภา 

ซึ่งมีการประชุมสำคัญในวันที่ 12 มิถุนายน 2568 อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล การใช้ประเด็นชายแดนอาจเป็นเครื่องมือเพื่อกลบกระแสวิพากษ์วิจารณ์และยื้อเวลาให้รัฐบาลประคองสถานการณ์ไปจนเลยกลางเดือนมิถุนายนหรือนานกว่านั้น

3. ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไทย

การจัดการสถานการณ์ชายแดนอย่าง “อ่อนแอ” หรือ “ขาดความเอาจริงเอาจัง” อาจนำไปสู่ผลกระทบร้ายแรงต่อรัฐบาลไทย ดังนี้

ประการแรก การที่รัฐบาลแสดงท่าทีไม่จริงจังในการปกป้องดินแดนอาจทำให้กองทัพไทยและประชาชนรู้สึกไม่พอใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียความไว้วางใจในรัฐบาล สัญญาณของความไม่ลงรอยระหว่างกองทัพและรัฐบาลเริ่มปรากฏชัดเจน เช่น การที่กองทัพต้องออกมาแถลงการณ์นำหน้ารัฐบาล

ประการที่สอง การยอมให้กัมพูชาอ้างพื้นที่ทับซ้อนโดยไม่ตอบโต้อย่างเข้มแข็งอาจสร้างความเสียหายในระยะยาวต่ออธิปไตยของไทย แม้ว่าพื้นที่อย่างเช่น ปราสาทตาเมือนธมและสามเหลี่ยมมรกตจะขึ้นทะเบียนเป็นของไทยมานานก่อนที่กัมพูชาจะเป็นรัฐชาติสมัยใหม่

การยอมรับว่าเป็น “พื้นที่ทับซ้อน” อาจถูกตีความว่าเป็นการยอมจำนน ซึ่งอาจส่งผลให้กัมพูชาใช้หลักเดียวกันนี้ในกรณีที่มีปัญหาพื้นที่อธิปไตยชาติถูกท้าทายในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อสร้างความได้เปรียบให้ตัวเองในอนาคต

ประการสุดท้าย หากรัฐบาลยังคงใช้ประเด็นชายแดนเพื่อกลบปัญหาการเมืองภายในโดยไม่จัดการอย่างจริงจัง อาจนำไปสู่ “ผลกระทบย้อนกลับ” (backfire) ที่ทำให้รัฐบาลสูญเสียความน่าเชื่อถือและนำไปสู่การล้มกระดานได้เร็วกว่าที่คาด 

การเมืองภายในที่ไร้เสถียรภาพ ผนวกกับการบริหารจัดการชายแดนที่ขาดประสิทธิภาพ อาจก่อให้เกิด การใช้กลไกทางกฎหมายและจริยธรรม หรือที่ผมบัญญัติศัพท์ว่า “จริยนิติสงคราม” เพื่อล้มรัฐบาลหรืออาจลุกลามจนฉุด “รัฐประหาร” ไม่อยู่ ส่งผลให้การบริหารประเทศเผชิญความท้าทายยิ่งขึ้น

4. ข้อเสนอแนะ

เพื่อรับมือกับวิกฤตนี้อย่างมีประสิทธิภาพและรักษาเสถียรภาพทั้งในระดับชาติและการเมืองภายใน รัฐบาลไทยควรดำเนินการตามข้อเสนอแนะ ดังต่อไปนี้

4.1 แสดงความเข้มแข็งในการปกป้องอธิปไตย: รัฐบาลไทยควรวางท่าทีที่ชัดเจนและเข้มแข็งทั้งคำพูดและการกระทำในการปกป้องดินแดน โดยเฉพาะการยืนยันว่าพื้นที่พิพาทเป็นของไทยตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์และการขึ้นทะเบียนของไทย

4.2 หลีกเลี่ยงการพึ่งพากลไกศาลโลก: การเจรจาทวิภาคีผ่าน JBC ควรเป็นแนวทางหลัก เนื่องจากการยื่นเรื่องต่อศาลโลกอาจไม่เป็นผลดีต่อไทย และอาจถูกมองว่าเป็นการยอมจำนนต่อแรงกดดันจากกัมพูชา

4.3 จัดการปัญหาการเมืองภายในอย่างโปร่งใส: รัฐบาลควรเร่งแก้ไขปัญหาการเมืองภายในอย่างถูกต้อง เพื่อลดแรงกดดันและป้องกันการลุกลามไปสู่การล้มกระดานที่เป็นไปได้อย่างน่าเป็นห่วง

4.4 สร้างความไว้วางใจกับกองทัพและประชาชน: รัฐบาลควรประสานงานอย่างใกล้ชิดกับกองทัพและสื่อสารกับประชาชนอย่างชัดเจน เพื่อสร้างความมั่นใจในการจัดการสถานการณ์

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาในปี 2568 เป็นมากกว่าความขัดแย้งเรื่องดินแดน แต่เป็นการเมืองที่เชื่อมโยงระหว่างผลประโยชน์ภายในของทั้งสองชาติ การปลุกกระแสชาตินิยมของกัมพูชาและการใช้ประเด็นนี้เพื่อกลบปัญหาการเมืองภายในของไทยอาจนำไปสู่ผลกระทบที่คาดไม่ถึง 

หากรัฐบาลไทยไม่จัดการอย่างเข้มแข็งและจริงจังจะเกิดความเสี่ยงต่อการสูญเสียดินแดนในอนาคตและเขย่าสั่นเสถียรภาพของรัฐบาลจะเพิ่มสูงขึ้น การแสดงความเข้มแข็งและการเจรจาที่โปร่งใสจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความดำรงอยู่ของรัฐบาลชุดปัจจุบันและยิ่งกว่านั้น เพื่อรักษาอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ

อ่านบทความทั้งหมดของ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์

Featured Image: ChatGPT