เบื้องหลังความสำเร็จของกองทัพอากาศยุคดิจิทัล ในสมรภูมิไทย-กัมพูชา

“เบื้องหลังความสำเร็จปฏิบัติการของกองทัพอากาศไทยในการรบระหว่างไทยกับกัมพูชา มาจากวิสัยทัศน์ของกองทัพฯ ที่มุ่งมั่นมาเป็นสิบปีพัฒนาให้กองกำลังทัพฟ้าของไทยก้าวสู่โลกดิจิทัลอย่างแท้จริง ผู้เขียนขอกล่าวถึงองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ปฏิบัติการครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
กองทัพอากาศ (RTAF) ได้แสดงบทบาทที่เด่นในการรบระหว่างไทยกับกัมพูชา ด้วยความสามารถในการใช้กำลังทางอากาศที่รวดเร็วและแม่นยำ หนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือ การนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้ในการปฏิบัติการทางอากาศ
ผู้เขียนมีโอกาสเข้าร่วมสัมมนาทางวิชาการในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) มาปรับใช้สำหรับการพัฒนากองทัพอากาศ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนกองทัพอากาศ จากเป้าหมายระยะแรกที่ดำเนินการแล้ว คือ กองทัพอากาศดิจิทัล (Digital Air Force: DAF) ในปี พ.ศ. 2555 และเป้าหมายระยะที่สองก็ คือ กองทัพอากาศที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Air Force: NCAF) ในปีพ.ศ. 2558
โดยนำประสบการณ์ของกองทัพอากาศสวีเดนที่นำ ICT มาปรับใช้ในช่วงเปลี่ยนผ่านไปสู่กองทัพอากาศสวีเดนที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Swedish NCAF 2000) ถือเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนากองทัพอากาศ
ประกอบการจัดหา เครื่องบิน Gripen C/D, ระบบบัญชาการและควบคุม (C2) และเครื่องบินแจ้งเตือน SAAB-340 AEW ที่มีส่วนสำคัญในการพัฒนาขีดความสามารถกองทัพอากาศ
การสัมมนาครั้งนั้น ผู้เขียนได้เรียนรู้ถึงวิทยาการสมัยใหม่อย่าง ระบบบัญชาการและควบคุมที่สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (Tactical Data Link: TDL) ในลักษณะ Real time ที่เป็นตัวแปรสำคัญทำให้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลระหว่างกัน และทำให้มีวงรอบการตัดสินใจ (OODA Loop) ที่รวดเร็วกว่าฝ่ายตรงข้าม
โดยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2552 หรือมากกว่า 16 ปี ที่กองทัพอากาศก็ได้ทำการศึกษาพัฒนายุทธศาสตร์กับ องค์กรบริหารจัดการยุทธภัณฑ์ทหารของสวีเดน (Swedish Material Defense Administration:FMV) เพื่อนำบทเรียนและความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาไปสู่ กองทัพอากาศที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCAF) ในปี พ.ศ. 2558
บนพื้นฐานของการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกันซึ่ง 2 องค์ประกอบที่สำคัญคือ ระบบบัญชาการและควบคุม (C2) และระบบเครือข่าย (Network) ถือเป็นเรื่องที่น่าศึกษาควรค่าต่อการเรียนรู้ โดยบทความนี้ผู้เขียนมีมุมมองและรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
ระบบเครือข่าย (Network)
ข้อมูลจากคณะเจ้าหน้าที่ทำงานศึกษาพัฒนายุทธศาสตร์ (Strategic Plan Development) เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 พูดถึงความต้องการในรายละเอียดด้านระบบเครือข่าย (Network) ในลักษณะที่สามารถบูรณาการและเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นจากเครือข่าย
ประกอบด้วย ข้อมูลด้านการรบ (Combat Network) และเครือข่ายทางด้านสนับสนุนการรบ (Support Network) เพื่อการหยั่งรู้สถานการณ์แบบเบ็ดเสร็จ (Total Situational Awareness) ซึ่งจะเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับผู้บังคับบัญชาในการวางแผน, อำนวยการ, สั่งการและควบคุมการใช้กำลังทางอากาศ ในการปฏิบัติการรบและการปฏิบัติการที่มิใช่การรบ ได้อย่างถูกต้อง, ทันตามความต้องการในทุกๆ สถานการณ์
ผลจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการที่ บุคลากรของกองทัพอากาศได้ทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับ ทีมบุคลากรของสวีเดน (FMV) ด้าน Networks เดือนธันวาคม พ.ศ. 2555 เพื่อพัฒนาไปสู่กองทัพอากาศที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCAF) ในภาพรวมสิ่งที่ควรดำเนินการก็คือ ปรับปรุงระบบเครือข่ายของกองทัพอากาศให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลในแบบดิจิทัล
ตามแนวทางปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network CentricOperations: NCO) กล่าวคือ การนำเอาเทคโนโลยีด้าน ICT มาช่วยในการปฏิบัติงาน อันทำให้การปฏิบัติงานต่างๆ ของกองทัพอากาศเป็นไปอย่างรวดเร็ว, เหมาะสม และทันตามความต้องการในทุกสถานการณ์
ผ่านการใช้บริการต่างๆ ที่มีบนระบบเครือข่าย อาทิ ภาพ (Video), เสียง (Voice) และข้อมูล (Data) ซึ่งในทางเทคนิคต้องครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ,สามารถเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (TDL) และสามารถเชื่อมโยงยุทโธปกรณ์หลักของกองทัพอากาศซึ่งจะช่วยให้เกิดภาพสถานการณ์การรบเดียวกัน (Common (shared) Operational Picture)ในพื้นที่การรบ โดยความสำคัญอยู่ที่ การจัดระบบทั้งทางด้านเทคนิคและด้านยุทธการต้องดำเนินการควบคู่กัน
อย่างที่ ทราบกองทัพอากาศได้รับเครื่องบิน Gripen C/D, ระบบบัญชาการและควบคุม (C2) และเครื่องบิน SAAB-340 AEW ด้วยการบริหารจัดการในภาพรวมที่ทำให้ทุกระบบสามารถเชื่อมโยงข้อมูลบนเครือข่ายเดียวกัน
อันถือว่ามีข้อดี คือ ช่วยเพิ่มการรับรู้สถานการณ์ (Situational Awareness: SA) อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการที่จะใช้ข้อมูลร่วมกัน (Information Sharing) โดยรวมถือเป็นแนวทางในการพัฒนาไปสู่ NCAF
ดังนั้นจึงต้องทำการปรับปรุงระบบเครือข่ายของกองทัพอากาศที่ใช้งานอยู่ (RTAF Access and Backbone Network Improvements) ให้มีความสามารถรองรับการส่งผ่านข้อมูล NCO ได้อย่างมีประสิทธิภาพมีสถานีภาคพื้น (Groud Entry Station: GES) ที่ครอบคลุมระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (TDL)
สามารถเชื่อมโยงข้อมูลที่จำเป็นจากเครือข่ายทั้งทางด้านการรบ (Combat Network) และเครือข่ายทางด้านสนับสนุนการรบ (Support Network) ให้สามารถทำงานบนเครือข่ายเดียวกันได้ (Joint Network)
อาทิ ข้อมูลเป้าหมายที่ได้จากเครื่องบินรบ (Fighter) สามารถถูกส่งจากภาคอากาศสู่ภาคพื้น (Back Link) และถูกจัดเก็บไว้ให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อนำไปใช้ในการตัดสินใจ (OODA Loop Planning) ซึ่งควรจัดทำเครือข่ายสำรองในกรณีเครือข่ายหลักขัด ข้องให้ศูนย์ปฏิบัติการทางอากาศ (AFOC), ศูนย์ยุทธการทางอากาศ (AOC) และศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการทางอากาศ (SOC)
สิ่งที่สำคัญคือ ควรกำหนดผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการเพื่อรองรับการอัพเกรด, การรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและการขยายบนระบบเครือข่ายของกองทัพอากาศ โดยเฉพาะการวางสาย Fiber Optic ขึ้นไปในภาคเหนือ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งผ่านข้อมูล NCO รวมทั้งควรตรวจสอบความเป็นไปได้ในการใช้เครือข่ายหลัก (Backbone) ร่วมกันระหว่างเหล่าทัพ ทั้งนี้เพื่อรองรับการปฏิบัติการร่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (Interoperability)
ระบบบัญชาการและควบคุม (C2)
ข้อมูลจากคณะ เจ้าหน้าที่ทำงานศึกษาพัฒนายุทธศาสตร์ (Strategic Plan Development) เดือนกันยายน พ.ศ. 2555 พูดถึงความต้องการรายละเอียดด้านระบบบัญชาการและควบคุม (C2) โดยทั่วไปนั้นต้องมีขีดความสามารถในการรวบรวม, บูรณาการ, กระจายและการรับ-ส่งข้อมูลที่สำคัญระหว่างหน่วยรบและส่วนสนับสนุนการรบ
และต้องมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลเข้ามาช่วยให้การบัญชาการและควบคุมเป็นไปอย่างถูกต้อง, รวดเร็วและทันสถานการณ์ ผลทำให้มีวงรอบการตัดสินใจ (OODA Loop) ที่รวดเร็วกว่าฝ่ายตรงข้าม
ที่สำคัญรองรับปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCO) ซึ่งผลจากการสัมมนาเชิงปฏิบัติการที่ เจ้าหน้าที่ของกองทัพอากาศทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกับเจ้าหน้าที่ของ FMV ด้าน C2
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2556 เพื่อพัฒนาสู่กองทัพอากาศที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง(NCAF) โดยระบบบัญชาการและควบคุม (C2) ที่ประกอบด้วยข่ายการบังคับบัญชา ศปก.ทอ. (AFOC), ศยอ. (AOC) และศคปอ. (SOC) ในภาพรวมสิ่งที่ควรดำเนินการก็คือปรับปรุงระบบและบุคลากรในระบบบัญชาการและควบคุม (C2 Staff and System Improvement)
ให้มีขีดความสามารถที่เพิ่มมากขึ้นในการรวบรวม, บูรณาการ, กระจายและรับ-ส่งข้อมูลที่สำคัญระหว่างหน่วยรบและส่วนสนับสนุนการรบ เพื่อได้มาซึ่งความได้เปรียบของข้อมูลสถานการณ์รบ (Situational Information Superiority)
โดยการนำระบบ FMBroadcast Net ของสวีเดนมาใช้ สำหรับกระจายข้อมูลภาพสถานการณ์การรบทางอากาศ (Recognized Air Picture: RAP) ทั้งนี้เพื่อใช้แจ้งเตือนกองบิน (Base Warning) และประสานการปฏิบัติระหว่างกองกำลังต่างๆ ประกอบกับควรเชื่อมโยงเป้าหมายใหม่ที่ได้จากบนเครื่องบิน SAAB-340 AEW สำหรับพัฒนาเป็นข้อมูลภาพสถานการณ์การรบทางอากาศ
เพื่อเพิ่ม SA ให้กับ SOC รวมทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลในแบบดิจิทัลระหว่างเหล่าทัพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรบร่วม ผ่านระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธี (TDL) อาทิ การแลกเปลี่ยนข้อมูลในแบบดิจิทัลของภาพสถานการณ์การรบระหว่างเครื่องบินรบของกองทัพอากาศ (Fighter) กับเรือรบของกองทัพเรือ (Naval Ship)
ส่วนในห้อง War Room ที่อยู่ใน AFOC นั้น ควรมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่ทันสมัยมีระบบแสดงผลขนาดใหญ่ สามารถแสดงภาพรวมของการปฏิบัติ (Common Operation Picture) ให้แก่ผู้บัญชาการและฝ่ายเสนาธิการ โดยที่ระบบวิเคราะห์ข้อมูลจะต้องแสดงให้เห็นข้อมูลที่ต้องการจากฐานข้อมูลที่กองทัพอากาศมีอยู่
อาทิ เครื่องบิน, นักบิน, อาวุธและอื่นๆ ในมุมมองระยะยาวตั้งแต่ 24 ชั่วโมงขึ้นไป เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้บัญชาการได้ใช้ในการตัดสินใจ และฝ่ายเสนาธิการได้ใช้ในการวางแผนดำเนินงาน รวมถึงการดูแลรักษาทรัพยากรที่กองทัพอากาศมีอยู่ให้สามารถใช้งานได้ในระยะยาวถ้าจำเป็นต้องปฏิบัติการ

ในส่วน AOC ควรมีระบบการนำเสนอข้อมูลที่ทันสมัย ประกอบกับมีระบบแสดงผลขนาดใหญ่ เพื่อแสดงภาพรวมของการปฏิบัติ (Common Operation Picture)
อาทิ มีแผนภูมิที่แสดงสถานภาพของแต่ละกองบิน, มีแผนภูมิที่แสดงสถานภาพเรดาร์, มีแผนภูมิที่แสดงสถานภาพระบบสื่อสารและอื่นๆ สามารถแสดงสถานการณ์ปัจจุบันและการเปลี่ยนแปลงภายใน 24 ชั่วโมงได้โดยอัตโนมัติและกึ่งอัตโนมัติ
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการตัดสินใจให้แก่ผู้เกี่ยวข้อง สำหรับการวางแผนระยะสั้นของการปฏิบัติการทางอากาศในยามสงคราม AOC นั้นอาจถูกโจมตีด้วยกำลังทางอากาศ (Air Strikes)
ดังนั้นจึงควรมีแผนในการจัดตั้ง AOC สำรองไว้ ทั้งนี้หากเป็นไปได้ควรพิจารณาให้อยู่ใต้ดินหรือสถานที่ที่มีความมั่นคงปลอดภัย โดยรวมแล้วถือเป็นการเตรียมมาตรการและความพร้อมในการบริหารจัดการความเสี่ยง (C2 Risk Management)
อีกทั้งการนำการรักษาความปลอดภัยด้าน ICT มาใช้ในระบบบัญชาการและควบคุมนั้น ควรที่จะยกระดับการรักษาความปลอดภัยของระบบสารสนเทศภายใน AFOC, AOC และ SOC ซึ่งต้องเน้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบโดยเคร่งครัด (ICT Security Compliance)
โดยเฉพาะการใช้ งาน Flash Drive ที่ติดไวรัส อาจสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์และเครือข่ายได้ที่สำคัญในระบบ C2 ข่ายการบังคับบัญชาที่ประกอบด้วย AFOC, AOC และ SOC นั้น ควรจัดให้มีการฝึกการทำงานแทนกันและทำงานร่วมกัน เพื่อก่อให้เกิดความพร้อมในการทำงานได้ตลอดเวลา (24/7)
ประกอบกับควรมีการฝึกร่วมกับหน่วยงานภายนอกเพื่อก่อให้เกิดความพร้อมในการทำงานร่วมกับพลเรือน อาทิ การปฏิบัติการร่วมระหว่างพลเรือนและทหาร (CIMIC) และการปฏิบัติการทางทหารที่ไม่ใช่สงคราม (MOOTW) เพื่อให้ระบบบัญชาการและควบคุมของกองทัพอากาศนั้น สามารถทำงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อคิดที่ฝากไว้
จะเห็นได้ว่าการก้าวไปสู่กองทัพอากาศที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCAF) นั้น กองทัพอากาศต้องนำเทคโนโลยี ICT มาปรับใช้ ตามแนวทางปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCO) โดยต้องพัฒนา 2 องค์ประกอบที่สำคัญตามที่กล่าวไปพร้อมกันอาจใช้งบประมาณจำนวนมาก
ทั้งนี้เพื่อปกป้องประเทศชาติและประชาชน แต่ถ้ามองให้ดีแล้ว NCAF ถือเป็นก้าวสำคัญ ในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับกองทัพอากาศในการใช้กำลังทางอากาศ ที่สำคัญก็คือการจัดหาเครื่องบิน Gripen E/F ที่มาพร้อมกับการถ่ายโอนเทคโนโลยีจากสวีเดนนั้น เห็นว่า..จะเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนากองทัพอากาศไปสู่การเป็นกองทัพอากาศชั้นนำในภูมิภาคนี้
อ่านบทความทั้งหมดของ น.อ.สรรสิริ สิริสันตคุปต์
Featured Image: กองทัพอากาศไทย RTAF






