Thursday, April 25, 2024
ArticlesBlockchainFinTech

ความสำคัญของ CBDC สำหรับการโอนเงินข้ามพรมแดน

การเข้ามาของ สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือ CBDC จะสามารถเปลี่ยนแปลงการชำระเงินข้ามพรมแดนในตลาดแรงงานทั่วโลกที่เชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่การส่งเงินกลับประเทศนั้น มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ

นขณะที่โลกเปลี่ยนไปใช้การชำระเงินแบบดิจิทัลและสกุลเงินมากขึ้น ธนาคารกลางทั่วโลกกำลังสำรวจว่าเทคโนโลยีใหม่ๆ ดังกล่าวสามารถนำมาใช้เพื่อแก้ไขจุดบอดในระบบการเงินได้อย่างไร

ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความเชื่อมั่นและการ ปกป้องระบบของธนาคารกลางได้โดยปริยาย วิธีหนึ่งที่ธนาคารกลางต้องการทำให้โครงสร้างพื้นฐานทางการเงินเป็น ดิจิทัลคือ การใช้สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currencies – CBDC) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัล ที่ออกโดยธนาคารกลางซึ่งแสดงถึงภาระผูกพันของธนาคารกลาง

โดย CBDC_แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบได้แก่ Retail_CBDC (เงินสดเทียบเท่าดิจิทัลสำหรับธุรกรรมรายย่อยของภาคประชาชนและและธุรกิจ) และ Wholesale_CBDC (สำหรับการ ทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงินและเข้าถึงได้โดยสถาบันการเงินเท่านั้น ซึ่งคล้ายกับบัญชีการชำระเงินของ ธนาคารกลางที่มีอยู่)

ณ เดือนตุลาคม พ.ศ. 2564 ธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (Bank of International Settlements – BIS) รายงานว่ามี Retail_CBDC_ที่เริ่มใช้งานแล้ว 2 รายและโครงการนำร่อง_CBDC_ใน 26 เขตอำนาจรัฐ

ในขณะที่ธนาคารกลาง_65_แห่งได้แจ้งต่อสาธารณะเกี่ยวกับโครงการ_ทางด้าน_CBDC_ที่พวกเขากำลังเตรียมความพร้อมสำหรับภูมิทัศน์ทางการเงินในอนาคต หนึ่งในธนาคารกลางที่กล่าวถึงคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเพิ่งหารือเรื่อง Retail_CBDC เมื่อไม่นานมานี้ ภายใต้การสนับสนุนจากเทคโนโลยีบล็อคเชน

CBDC คำตอบแห่งอนาคตสำหรับธนาคารกลาง
บทความโดย: ราฮูล แอดวานี ผู้อำนวยการนโยบายภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APAC) ริปเปิล

มีหลายเหตุผลว่า_ทำไม_CBDC_จึงเป็นคำตอบแห่งอนาคตสำหรับธนาคารกลาง ด้วยเป้าหมายนโยบายร่วมกันสำหรับ_CBDC_ในเอเชียแปซิฟิกคือ ความต้องการส่วนเสริมดิจิทัล ไปด้วยกันกับเงินของธนาคารกลาง (fiat) เพื่อที่จะสนับสนุนระบบการชำระเงินที่ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม_เนื่องจากธนาคารกลางได้ตระหนักถึงประโยชน์ที่พึงได้รับจาก_CBDC เป้าหมายของนโยบายจึงได้รับการพัฒนาต่อยอดเพื่อจัดการกับความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค

เช่น_การผลักดันให้มีการเข้าถึงบริการทางการเงินที่มากขึ้นในหมู่ผู้ที่ไม่มีบัญชีธนาคาร (unbanked) ซึ่งตามรายงานของธนาคารโลกอยู่ที่ ประมาณ 18% ของประชากรผู้ใหญ่ในประเทศไทย

ด้วยเหตุนี้ เมื่อไม่นานมานี้ ทางริปเปิลจึงได้ร่วมมือกับธนาคารกลางภูฏานในโครงการนำร่อง_CBDC_โดยมีเป้าหมายเพื่อ เพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินจากปัจจุบัน 64% เป็น 85% ภายในปี 2566

นอกจากนี้ทางริปเปิลเพิ่งประกาศ ความร่วมมือกับสาธารณรัฐปาเลา เกี่ยวกับการพัฒนากลยุทธ์สำหรับการชำระเงินข้ามพรมแดน และสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับ การสนับสนุนจากดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยให้พลเมืองของปาเลาเข้าถึงบริการทางการเงินได้มากขึ้น

นอกจากนี้_CBDC_ยังช่วยทบทวนวิธีที่เรากำหนดและแลกเปลี่ยนมูลค่า เพื่อสร้างระบบการชำระเงินภายในประเทศ ที่ยืดหยุ่นและหลากหลายมากขึ้น_เราสามารถใช้_CBDC_เป็นเครื่องมือเพื่อสนับสนุนเป้าหมายนโยบายที่เฉพาะเจาะจงได้_

เช่น_ให้การสนับสนุนการกระตุ้นภาคการใช้จ่ายเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย หรือเพื่อให้ความช่วยเหลือในยามวิกฤต โดย_CBDC_ที่ใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้อาจจำกัดเวลา สร้างเฉพาะภูมิภาค และเชื่อมโยงกับผลลัพธ์ของนโยบายที่เฉพาะเจาะจง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มักถูกมองข้ามแต่มีความสำคัญอย่างยิ่งคือ การที่_CBDC_สามารถเปลี่ยนแปลงการชำระเงินข้าม พรมแดนในตลาดแรงงานทั่วโลกที่เชื่อมโยงถึงกันมากขึ้นได้อย่างไร_โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่การส่งเงินกลับ ประเทศนั้น มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ

การจัดทำกรณีศึกษาสำหรับ CBDC ในการโอนเงินข้ามพรมแดน

เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาหลายๆ แห่งทั่วเอเชียแปซิฟิก_ในประเทศไทยนั้น_การโอนเงินเป็นสายเลือดหลักทาง เศรษฐกิจ แรงงานไทยในต่างประเทศส่งเงินกลับประเทศประมาณ 5.93 พันล้านดอลลาร์มายังประเทศไทย ในปี 2563 ซึ่งช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและมีส่วนในการออมในระดับครัวเรือน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 39% จาก 4.26 พันล้านดอลลาร์สำหรับเงินที่ส่งเข้ามาในประเทศไทยในปี 2561

การวิจัยพบว่า การโอนเงินมีประสิทธิภาพในการลดความผันผวนของรายได้ครัวเรือนจำนวนมากโดยเฉลี่ย 5% ทำให้มี เสถียรภาพมากขึ้นแม้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน ครัวเรือนที่รับเงินโอนมีแนวโน้มที่จะออมเงินค่อนข้างสูงกว่าครัวเรือนที่ ไม่ได้รับเงินโอน

ถึงกระนั้น การส่งเงินจากต่างประเทศกลับมาที่ประเทศไทยก็ยังมีค่าใช้จ่ายสูง เต็มไปด้วยความยุ่งยากและดำเนินการ ล่าช้า ข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า ต้นทุนการทำธุรกรรมเฉลี่ยในการส่งเงินไปยังประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 7.7% ในปี 2563 สาเหตุหลักมาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้ให้บริการโอนเงินบางแห่งมักมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะได้รับความสนใจ เพียงพอจากสถาบันการเงินรายใหญ่ ทำให้เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะสามารถลดต้นทุนต่อหน่วยที่จำเป็น

ความยุ่งยากโดยธรรมชาติที่มีอยู่ในโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินทั่วโลกในปัจจุบัน ทำให้การโอนเงินข้ามพรมแดน มีค่าใช้จ่ายสูงและล่าช้า ทำให้เกิดปัญหากรณีการใช้งานที่สำคัญสำหรับ Retail_CBDC

อย่าลืมว่า ในขณะที่ภูมิภาคนี้ยังคงเป็นโลกาภิวัตน์ ผู้บริโภคและธุรกิจจำนวนมากขึ้นจะต้องทำธุรกรรมกับซัพพลายเออร์ และผู้ขายข้ามพรมแดนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่ง_CBDC_ยังมีศักยภาพพอที่จะช่วยสร้างความเชื่อมโยงและความร่วมมือ ระหว่างเศรษฐกิจในภูมิภาคและกลุ่มการค้า เช่น อาเซียนได้

ที่สำคัญ_CBDC_สามารถรองรับไมโครเพย์เมนต์_(เช่น_การชำระเงินจำนวนเล็กน้อยที่ต่ำกว่า_5_ดอลลาร์)_รวมถึงไมโครเพย์เมนต์ข้ามพรมแดน โดยในปัจจุบันพบว่า ต้นทุนการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับไมโครเพย์เมนต์สูงเกินไปที่จะรองรับการดำเนินการดังกล่าว

การเชื่อมต่อส่วนที่ขาดหายไปด้วย CBDC

เป็นที่ชัดเจนว่า_การเข้ามาของ_CBDC_จะเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ทางการเงิน อย่างไรก็ตามหากเราต้องการใช้ศักยภาพของ_CBDC_อย่างเต็มประสิทธภาพ

ธนาคารกลางจะต้องลดช่องว่างดังกล่าวด้วยการทำให้มั่นใจว่า_การทำงานข้ามพรมแดนเป็นไปอย่างราบรื่น_เพื่อปรับปรุงการค้าโลกและการเข้าถึงบริการทางการเงิน และไม่ใช่รักษาไว้ซึ่งสถานะที่มีอยู่เดิม ความไร้ประสิทธิภาพ และความไม่เท่าเทียมกัน

สิ่งนี้ทำให้การทำงานร่วมกันระหว่าง CBDC_มีความสำคัญอย่างมาก ด้วยการอนุญาตให้_CBDC เชื่อมต่อกับบริการ ภายในประเทศอื่นๆ ได้เช่นเดียวกันกับการเชื่อมต่อกับ CBDC_อื่นๆ การทำงานร่วมกันจะช่วยเพิ่มอรรถประโยชน์ของ CBDC_ในการลดต้นทุนการทำธุรกรรม_และลดอุปสรรคสำหรับผู้เข้ามาในตลาดรายใหม่_ในขณะที่ธนาคารกลางแต่ละแห่ง สามารถรักษาอำนาจอธิปไตยทางการเงินของตนไว้ได้

หากปราศจากการทำงานร่วมกันข้ามพรมแดนอย่างราบรื่น_โครงการ_CBDC_ส่วนใหญ่จะไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุดได้

ดังนั้นจึงจำเป็นที่ธนาคารกลางจะต้องจัดการกับความท้าทายในการทำงานร่วมกันโดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมที่ภาคเอกชนนำเสนอ เพื่อเร่งต่อยอดและพัฒนาความคิดริเริ่มใหม่ๆ และด้วยเหตุนี้จึงสามารถเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากเศรษฐกิจที่สดใส ราบรื่นและครอบคลุมมากขึ้น