
“ทีเส็บ และองค์กรวิชาชีพกลุ่มอุตสาหกรรมไมซ์ร่วมหาแนวทางมาตรการเร่งด่วน Quick Big Win พบปัญหา ได้ข้อเสนอ พร้อมทางแก้ เสนอต่อรัฐบาล คาดหวังเม็ดเงินจากอุตสาหกรรมไมซ์ 1 แสนล้าน
เมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ เป็นประธานการประชุมจัดทำมาตรการ “Quick Big Win” เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจและเสริมศักยภาพอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศ
โดยบูรณาการความร่วมมือกับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมไมซ์ ได้แก่ สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) สมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) สมาคมโรงแรมไทย สมาคมการค้าส่งเสริมการจัดมหกรรมและเทศกาลนานาชาติไทย สมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมหาแนวทางมาตรการเร่งด่วน Quick Big Win เพื่อนำเสนอต่อรัฐบาล เป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านอุตสาหกรรมไมซ์
การประชุมดังกล่าวมีเป้าหมายและความคาดหวังต่ออุตสาหกรรมในซ์ ในหลายๆ ประเด็น อาทิ การแก้ไขปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมไมซ์ ให้สามารถ ดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและแข่งขันได้
รวมถึง กระตุ้นให้เกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน เกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ และ การหมุนเวียนทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมไมซ์
หลากหลายข้อเสนอจากสมาคมในกลุ่มไมซ์
ตัวแทนจาก สมาคมการแสดงสินค้า (ไทย) หรือ TEA กล่าวถึงสิ่งที่สมาคมฯ เสนอต่อรัฐบาลคือ ความต้องการด้านส่วนลดด้านภาษี สำหรับการจัดแสดงสินค้า และความต้องการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงการสนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการจัดการแสดงสินค้า
ขณะที่ ประชุม ตันติประเสริฐสุข นายกสมาคมส่งเสริมการประชุมนานาชาติ (ไทย) หรือ TICA ให้ความเห็นว่า ต้องมองหาตลาดที่มาแรงซึ่งสามารถทำรายได้ได้เร็ว อาทิ ตลาดอินเดีย ตะวันออกกลาง อาเซียน และต้องมองหาเมืองรองเพื่อรองรับการจัดงาน เพื่อเพิ่มประสบการณ์ของตลาดเมืองรองที่มีต้นทุนไม่แพง
รวมถึง การสนับสนุนด้านงบประมาณสำหรับผู้ประกอบการให้มีจำนวนมากรายขึ้น สำหรับการขยายการขายงานไปตลาดต่างประเทศ พร้อมให้เสนอว่า ในสถานการณ์ที่ต้องการ Quick Big Win ต้องมองถึงเรื่องการขายแบบผสมผสานหรือ ไฮบริด ที่อาศัยการทำออนไลน์เทรดโชว์ เข้ามาช่วย
สิ่งสำคัญคือ ต้องไม่ลืมตลาดภายในประเทศ ที่ต้องมีการโปรโมทอีเวนต์ งานเฟสติวัลต่างๆ เป็นการโปรโมทผู้ประกอบการไทย และขยายช่วงเวลาในการจัดงานและการสนับสนุนให้นานขึ้น ให้ครอบคลุมช่วงโลว์ซีซัน
ในขณะที่ ศุภวรรณ ถนอมเกียรติภูมิ นายกสมาคมโรงแรมไทย ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐรีบจัดงานประชุมสัมมนาตั้งแต่บัดนี้ โดยไม่ต้องรอถึงปลายปีงบประมาณ กระจายการจัดงาน ลดปัญหาการจัดงานกระจุกตัวของการจองโรงแรม
และอีกประการคือ การพิจารณา กฎเกณฑ์ในเรื่อง อัตราค่าที่พักของหน่วยงานราชการ และอยากให้มีการปรับเพราะอัตราการเข้าพักในปัจจุบันราคาต่ำมาก และไม่สะท้อนตันทุนที่แท้จริง ซึ่งถ้าปรับได้จะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการ และเพิ่มเม็ดเงินในระบบของประเทศได้
มณเฑียร วิจิตรสาระวงศ์ ผู้แทนสมาคมการค้าส่งเสริมการจัดมหกรรมและเทศกาลนานาชาติไทย หรือ TIEFA ให้ความเห็นว่า ภาครัฐควรเร่งให้กระบวนการพิจารณาอนุมัติการจัดงานต่างๆ เร็วขึ้น กระขับ รวมถึงต้องการให้มีมาตรการลดหย่อนภาษีให้ผู้สนับสนุนการจัดงานประชุม สัมมนาต่างๆ และการพิจารณาเรื่องซอฟต์โลนให้ผู้จัดการประชุม เป็นการเพิ่มความสามารถของผู้ประกอบการด้านนี้
นอกจากนั้นแล้ว มณเฑียร มองถึง การเตรียมข้อมูลในเชิงเชิงพื้นที่ สำหรับพื้นที่ผลายทางที่มีการจัดงาน ที่เรียกว่า เครเอทีฟเฟสติวัลโซน หรือ เครเอทีฟดิสตริก เป็นการออกแบบเส้นทางการใช้จ่าย ท่องเที่ยว ซื้อของ และประเด็นสำคัญคือ ความต้องการให้ภาครัฐสนนับสนุนการประชาสัมพันธ์งานมากกว่านี้
อุปถัมป์ นิสิตสุขเจริญ นายกสมาคมธุรกิจสร้างสรรค์การจัดงาน หรือ EMA เสนอให้มีการจัดงานมหกรรม EXPO ขนาดใหญ่ในประเทศไทย คล้ายๆ งานพืชสวนโลก หรืองาน BOI Fair ซึ่งที่ผ่านมาสามารถดึงดูดคนได้กว่า 2 ล้านคน
โดยเฉพาะงานที่งาน BOI จัดนั้น เป็นงานในลักษณะสร้างเศรษฐกิจ และสร้างองค์ความรู้ ที่ประเทศไทยห่างมานาน โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมใหม่ซึ่งเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงราว 1 ล้านล้านบาท อาทิ อุตสาหกรรมสำหรับอนาคต, เทคโนโลยี AI, ดาต้าเซ็นเตอร์ หรืออุตสาหกรรมและเทคโนโลยีแบตเตอร์รี่ เป็นกาารขยายและเปิดตลาดการลงทุน
ดร.รุ่งโรจน์ สีเหลืองสวัสดิ์ ตัวแทนจาก สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ TCT ให้ความเป็นว่า สิ่งที่จะช่วยให้เกิดแรงกระตุ้นทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงและรวดเร็วในอุตสากรรมไมซ์คือ เร่งการประชุมสัมมนาในประเทศ โดยภาครัฐสามารถเป็นคนออกนโยบายหรือแนวทางให้เกิดการประชุมสัมมนาแบบข้ามจังหวัดได้
การกระตุ้นดังกล่าวคาดว่าจะสามารถส่งผลแบบทวีคูณได้ถึง 3 เท่าสำหรับภาคบริการในเมืองใหญ่ และในเมืองรอง 2-2.5 เท่า เป็นโครงการที่สามารถทำได้เร็ว และเห็นผลเร็ว
วรรณา ดุลยาสิทธิพร ผู้แทนจากหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ให้ความเห็นว่า ต้องการให้โครงการคนละครึ่งเฟส 2 มีการเพิ่มกลุ่มเป้าหมายทั้งฝั่งของผู้ประกอบการ ที่เป็นร้านอาหารที่มีที่ห้องประชุม สัมมนา และเพิ่มผู้ใช้ ไปที่ภาคเอกชนที่มีการประชุมสัมมนา และกระจายไปทุกจังหวัด เพิ่มกลุ่มเป้าหมายในกลุ่มอุตสาหกรรมไมซ์
อีกประเด็นคือ การทบทวนหรือพิจารณาให้ จัดลำดับความสำคัญในการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐระดับจังหวัด มาที่การจัดประขุมสัมมนาเป็นอันดับต้นๆ เพื่อกระตุ้นให้การจัดงานอีเวนต์ จัดสัมมนา มากขึ้น เร็วขึ้น
Quick Big Win จะกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไมซ์ได้ 1 แสนล้าน

ในช่วงท้าย ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการ ทีเส็บ ได้กล่าวเสริมว่า “มาตรการของรัฐ อาทิ การลดหย่อนภาษี ลดดอกเบี้ย การช่วยผู้ประกอบการให้เดินได้ ไมซ์กระตุ้นเศรษฐกิจจริงๆ”
“การใช้กลไกของธุรกิจไมซ์เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะเร่งด่วน และ กระจายสู่ผู้มีส่วนได้เสีย ผู้ประกอบการทุกระดับ รวมถึง การกระจายเชิงพื้นที่และเวลาให้เกิดผลกระทบ เชิงบวกทั้ง มิติ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างทั่วถึง”
“ทีเส็บ เองได้ทำโครงการต่างๆ เพื่อเร่งให้เกิด Quick_Big Win กระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไมซ์ ที่ผ่านมาได้ผลักดันโครงการ อาทิ โครงการประชุมเมืองไทย ภูมิใจข่วยชาติ เข้ามาอีกรอบ ที่สามารถสร้างรายได้ให้รัฐหลายพันล้าน”
“และโครงการ ฮีโร่ พันล้าน คือ การทุ่มโปรโมท เพื่อสนับสนุนงานประชุมสัมมนา การแสดงสินค้า กลุ่มงานเทศกาล อีเวนต์ ในช่วงเดือนตุลาคมปีนี้จนถึงกุมภาพันธ์ปีหน้า เพื่อดึงดูดให้ต่างประเทศเข้ามา เกิดการท่องเที่ยว สัมมนาข้ามจังหวัด น่าจะเพิ่มกระตุ้นได้เกินพันล้าน”
“อย่างไรก็ดี ผลจากประชุมร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน เพื่อระดมข้อคิดเห็นและสรุปมาตรการโครงการ Quick Big Win ในครั้งนี้จะได้รวบรวมและนำเสนอต่อรัฐบาล ซึ่งคาดกว่า Quick_Big Win จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไมซ์ได้ราว 1 แสนล้านบาท” ดร.ศุภวรรณ สรุป






