Friday, December 5, 2025
NEWS

จีไอเอส ชี้แนวทางรับมือภัยพิบัติ ต้องสร้างความร่วมมือบูรณาการข้อมูลทั้งประเทศ

จีไอเอส

จีไอเอส ชี้ทางรอดภัยพิบัติไทยอยู่ที่ ข้อมูล พร้อมเน้นย้ำการบูรณาการทุกภาคส่วน ด้วยเทคโนโลยี GIS เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำและทันเวลา

มื่อเดือนต้นกันยายนที่ผ่านมา บริษัท_จีไอเอส ได้เข้าร่วมงานเสวนาในงาน KBTG Techtopia 2025 โดยตอนหนึ่งชี้ว่า ประเทศไทยไม่อาจรับมือภัยพิบัติด้วยการคาดเดาได้อีกต่อไป หากยังขาดการบูรณาการข้อมูลจากทุกภาคส่วน

วิกฤติจะยิ่งซับซ้อนและยากต่อการจัดการ ทางรอดอยู่ที่การใช้เทคโนโลยี GIS เพื่อสร้างระบบข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และการตัดสินใจที่แม่นยำ ทันเวลา ก่อนที่ประเทศจะเผชิญจุดเปลี่ยนที่ยากจะรับมือ

ดร.ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธานบริษัท จีไอเอส จำกัด

ดร.ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธานบริษัท จีไอเอส จำกัด ในกลุ่มบริษัทซีดีจี ร่วมเวที Facing Tomorrow Disasters: How We Prepare for Quakes, Floods, and More ในงาน KBTG Techtopia: At World’s Beginning เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา

โดยชี้ว่าการรับมือกับภัยพิบัติไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยีและการสร้างระบบขนาดใหญ่ แต่คือการบูรณาการ ข้อมูล จากทุกหน่วยงาน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถ รู้ สู้ อยู่ หรือหนี ได้อย่างแม่นยำตามสถานการณ์จริง

ผ่านเทคโนโลยี GIS ที่ช่วยวิเคราะห์ ประมวล และคาดการณ์ล่วงหน้าผ่านแผนที่เสมือนจริง เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นข้อมูลเพื่อการตัดสินใจที่ทันท่วงที

การเตรียมพร้อมเพื่อ สู้ อยู่ หรือหนี นั้น ดร.ธนพร เน้นยำว่า เราต้องหันมาใช้ข้อมูลเป็นพื้นฐาน พร้อมทั้งการบูรณาการจากทุกหน่วยงานให้เป็นหนึ่งเดียว หากข้อมูลกระจัดกระจาย การทำงาน การสื่อสาร การแก้ปัญหา และการตัดสินใจก็จะไม่ชัดเจนและไม่ไปในทิศทางเดียวกัน

ความท้าทายสำคัญในวันนี้คือการเชื่อมโยงข้อมูลอย่างเป็นระบบ และคนที่เข้าใจโจทย์จริง เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลให้เห็นแนวโน้มและสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นจริง นำไปสู่การตัดสินใจที่เหมาะสม เพิ่มศักยภาพการใช้เทคโนโลยี GIS อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อประเทศและประชาชน

“เป้าหมายของเราคือการใช้เทคโนโลยี GIS เพื่อเสริมศักยภาพการจัดการภัยพิบัติ ให้ไม่เพียงคาดการณ์และประเมินสถานการณ์ได้แม่นยำ แต่ยังเตรียมความพร้อมให้สามารถรับมือได้อย่างทันท่วงที ลดความสูญเสีย และเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชน”

“ที่ผ่านมา เราได้ต่อยอดเทคโนโลยี GIS สู่โซลูชันจริง เช่น Urban Hazard Studio ที่พัฒนาร่วมกับ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ประธานกรรมการบริหาร Futuretales LAB, MQDC และผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต เพื่อจำลองและคาดการณ์สถานการณ์น้ำท่วมในอนาคต”

“รวมถึงแอปพลิเคชัน เตะฝุ่น ที่พัฒนาร่วมกับ สภาลมหายใจกรุงเทพฯ ซึ่งบูรณาการข้อมูลคุณภาพอากาศและจุดความร้อนแบบเรียลไทม์ พร้อมพยากรณ์ล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน ตัวอย่างเหล่านี้สะท้อนว่า GIS สามารถถูกนำมาใช้จริงในการรับมือทั้งภัยพิบัติและมลพิษสิ่งแวดล้อม”

ความร่วมมือเป็นอีกหนึ่งเครื่องเร่งสำคัญ ที่จะทำให้การจัดการภัยพิบัติและสิ่งแวดล้อมของประเทศเป็นไปได้จริง” ดร.ธนพร ชี้ให้เห็นว่า ความท้าทายไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือการบูรณาการข้อมูล ความสำเร็จของการใช้ GIS จึงต้องเกิดจากการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักวิชาการ ภาคประชาสังคม หรือหน่วยงานท้องถิ่น”

“ตัวอย่างเช่น Urban Hazard Studio ที่เกิดจากการทำงานกับสถาบันวิจัย และแอปพลิเคชัน เตะฝุ่น ที่สะท้อนบทบาทของภาคประชาสังคม ขณะเดียวกัน ระบบเตือนภัยที่ประชาชนเข้าถึงได้และเชื่อถือได้ก็เป็นอีกองค์ประกอบสำคัญของความร่วมมือ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ระบบจะน่าเชื่อถือได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่ายเปิดข้อมูลและประสานงานอย่างเป็นระบบ”

ภัยพิบัติและมลพิษสิ่งแวดล้อมไม่เพียงสร้างความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ แต่ยังส่งผลโดยตรงต่อชีวิตประชาชน โดยเฉพาะระบบแจ้งเตือนต้องมีประสิทธิภาพ และมีความน่าเชื่อถือ

ดร.ธนพร ชี้ว่า ระบบเตือนภัยที่ดีต้องไม่ใช่แค่ส่งสัญญาณเตือน แต่ต้องบอกทางเลือกหรือแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนสามารถทำได้จริงในเวลาจำกัด เพื่อให้การเตือนภัยมีความหมายและสร้างความเชื่อมั่น และนี่คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ผู้คนสามารถเตรียมพร้อม ปกป้องตนเองและครอบครัว ลดความสูญเสียได้จริง