
“กระทรวงดีอี ขับเคลื่อนเชิงรุก รับงบ 69 หนุนภาคผลิตใช้เทคโนโลยีดิจิทัล – เอไอ ลดต้นทุน เพิ่มขีดแข่งขันอุตสาหกรรมไทย สร้างมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลไม่น้อยกว่า 30% ของจีดีพีประเทศไทย ภายในปี 2570
เมื่อต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งที่ 2 หัวข้อ การขับเคลื่อนประเทศสู่ความสามารถในการแข่งขันทางดิจิทัลระดับโลก: Driving A Nation Towards world Digital Competitiveness ที่จัดโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA)
ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (กระทรวงดีอี) ให้สัมภาษณ์ หลังการเปิด ว่า เป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ภายในปี 2570 จะมีมูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัล ในสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP)”
“และไต่ระดับความสามารถในการแข่งขัน ด้านดิจิทัลในอันดับที่ 30 จากปัจจุบันที่เศรษฐกิจดิจิทัล คิดเป็นสัดส่วน 24% ของ GDP ได้รับการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัล ปี 2568 จาก IMD (International Institute for Management Development) อยู่ในอันดับที่ 37 ลดลง 2 อันดับ จากอันดับที่ 35 ในปี 2567”
เดินหน้าเป้าหมายปี 70 ด้วยแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล 6 ด้าน
ในการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยเพื่อไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ในปี 2570 นั้น ณัฐพล กล่าวว่า กระทรวงดีอี มีแผนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลใน 6 ด้านหลักด้วยกันคือ
- การลงทุนในเรื่องของระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล (Capital and Investment)
- การพัฒนาอัตลักษณ์ด้านดิจิทัล (Digital Identity)
- การพัฒนาระบบดิจิทัล (Digital Infrastructure)
- การพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (Digital Government)
- การพัฒนาระบบอี-คอมเมิร์ซ (Digital Payment and Cashless Society) และ
- การนำดิจิทัลไปเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมและภาคการผลิต รวมถึงการพัฒนาบุคลากรด้านดิจิทัล ตามเกณฑ์ในการพิจารณาของ IMD
ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ที่ผ่านมาการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในประเทศไทย ภาคเอกชนจะมีบทบาทในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว โดยมีการลงทุนเป็นจำนวนมาก จากการให้บริการของบริษัทที่ให้บริการด้านเทคโนโลยี
ขณะที่ภาครัฐจะมุ่งเน้นเรื่องการวางระบบเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ โดยในฝั่งแปซิฟิกในส่วนของ Cable Submarine เพื่อเชื่อมโยงระบบกับต่างประเทศ
และมีแผนที่จะพัฒนาในส่วนของ Cable Submarine ส่วนในฟากอันดามัน รัฐบาลอาจจะต้องใช้เงินลงทุนราว 5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อเชื่อมต่อกับต่างประเทศ สนับสนุนกับการลงทุนระบบเครือข่ายของภาคเอกชน
คราวด์กลางภาครัฐ ต้องครอบคลุมกับทุกหน่วยงานของไทย
ภายใต้โครงการ ระบบคราวด์กลางภาครัฐ หรือ Government Data Center and Cloud (GDCC) โดยการรวมศูนย์ข้อมูล (Data Center) ของหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยเข้ามาใช้งานร่วมกัน ที่พัฒนาต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2565-2568 กรอบงบประมาณราว 5,000 ล้านบาท สร้าง Data Center แล้วเสร็จแล้ว 45,000 VM (Virtual Machine ) จากที่ต้องใช้ประมาณ 800,000 VM สำหรับการจัดทำข้อมูล GDCC ให้ครอบคลุมกับทุกหน่วยงานของไทย
ขณะเดียวกัน ยังเร่งผลักดันให้หน่วยงานราชการ ปรับการทำงานใหม่ ในรูปแบบ E-Document หรือ Paperless office ซึ่งปัจจุบันมีหน่วยงานรัฐ 65 แห่งปรับการทำงานมาสู่รูปแบบ E-Document เรียบร้อยแล้ว มีผู้ใช้รวมกว่า 90,000 users
ขณะที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีผู้ใช้กว่า 78,000 users และตั้งเป้าภายในปี 2570 จะผลักดันให้หน่วยงานรัฐ ปรับการทำงานมาเป็นรูปแบบ E-Document ทั้งหมดหรือมากที่สุด
“ในปีงบประมาณปี 2569 กระทรวงฯจะเร่งขับเคลื่อน 3 เรื่องหลักสู่ Digital Government ในปี 2569-2570 คือ E-Document ระบบคราวด์กลางภาครัฐ GDCC และ ความปลอดภัย Cyber Security โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ในการพัฒนา ปรับปรุงการผลิตและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของภาคอุตสาหกรรม โดยนำ AI มาพัฒนา สร้างบุคลากรด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI”
“โดยกำหนดเป้าหมายภายในปี 2571 จะมีประชากรไทยเข้าถึงเทคโนโลยี AI ไม่น้อยกว่า 10 ล้านคน มีผู้เชี่ยวชาญ ไม่น้อยกว่า 90,000 คน และ สร้างผู้พัฒนาเทคโนโลยีเอไอ (AI Developer) ไม่น้อยกว่า 50,000 คน ภายใต้กรอบงบประมาณ 20,000 ล้านบาท ในโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ” ดร.ณัฐพล กล่าว
เศรษฐกิจดิจิทัล AI สู่ภาคการผลิต
“แม้ว่าปัจจุบันเรามีเทคโนโลยี 5G แต่ยังไม่ได้ถูกนำไปใช้ ในการพัฒนากระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ถ้าสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัล และ AI ไปใช้ในการพัฒนาภาคการผลิต อุตสาหกรรม และ SMEs จะช่วยลดต้นทุนธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและ สร้างรายได้เพิ่มขึ้น” ณัฐพล กล่าว






