![FinTech](http://www.cioworldbusiness.com/wp-content/uploads/2023/10/Fintech-in-5-Year-750x450.jpg)
“สรุปประเด็นสำคัญจาก เวทีเสวนา The Global Tech Talk @SCBX NEXT TECH ที่ชี้ให้เห็นถึง วิวัฒนาการ FinTech ไทยและเอเชีย ตลอดจนการประเมินโลก FinTech ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
วันก่อนมีการพูดคุยเสวานาจากเวที The Global Tech Talk @SCBX NEXT TECH ที่ สยามพารากอน มีเรื่องน่าสนใจคือ วิวัฒนาการฟินเทคไทยและเอเชีย ตลอดจนการประเมินโลกฟินเทค ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
บนเวที มีผู้เชี่ยวชาญของวงการการเงินดิจิทัลมาร่วม แบ่งปันองค์ความรู้ อาทิ ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด, ไมเคิล ซุง จาก มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง, รูเบน ลิม ผู้บริหาร สมาคมฟินเทคสิงคโปร์
มีประเด็นที่น่าสนใจ CIO World Business ได้หยิบเอาบางส่วนมาถ่ายทอดดังนี้
การเกิดขึ้นของธนาคารเสมือนจริง
![](http://www.cioworldbusiness.com/wp-content/uploads/2023/10/Thanawat-Lertwattanarak-217x300.png)
ธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “ธนาคารเสมือนจริง จะเข้ามาลดช่องว่างและสร้างโอกาสให้คนเข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น”
“เมื่อโลกการค้าขายเป็นการซื้อขายออนไลน์ ผู้ขายจะสามารถเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้ทั้งหมดจากข้อมูลดิจิทัลที่รายละเอียดมากยิ่งขึ้น ทำให้สามารถนำเสนอรูปแบบบริการทางการเงินได้ตรงความต้องการของแต่ละคน สามารถผูกบริการทางการเงินร่วมกับสินค้าที่ต้องการ”
“บริการเช่นนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากธุรกิจที่เป็นธนาคารอย่างเดียว แต่สำหรับธุรกิจการค้าปลีกที่มีธนาคารดิจิทัลด้วยจะสามารถทำได้ ไม่ว่าผู้บริโภคจะจ่ายอะไรหรือซื้อสินค้าอะไร ข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บและนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมได้หมด”
นั่น หมายความว่า โอกาสที่ผู้ค้าปลีกจะเปิดบริการธนาคารเสมือนจริงควบคู่ไปกับการขายสินค้า โดยใช้บิ๊กดาต้า เป็นตัวแปรกำหนดและแยกแยะความต้องการของลูกค้า ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีหรือต้นปีหน้า จะเริ่มเห็นบริการดังกล่าว
บล็อกเชน ตัวสร้างความไว้วางใจให้ระบบการเงินดิจิทัล
![](http://www.cioworldbusiness.com/wp-content/uploads/2023/10/Michael-Sung-217x300.png)
ด้าน ไมเคิล ซุง มหาวิทยาลัยเจ้อเจียง (ZIBS) กล่าวว่า “เทคโนโลยีบล็อกเชน จะเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญ โดยสามารถมองมันเป็นอินเทอร์เน็ตแห่งความไว้วางใจรูปแบบใหม่ เพื่อให้สามารถกระจายอำนาจการควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ เทคโนโลยีนี้จะสามารถนำข้อมูลจากส่วนต่างๆ ของโลกมารวมกันได้”
บล็อกเชนกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่แตกต่างกันทั้งหมดบนระบบนิเวศบล็อกเชนอื่นๆ โดยในภาพรวมนั้น ตัวที่คอยควบคุมทิศ สนับสนุนหรือชะลอการเติบโตของโลกการเงินดิจิทัล
ก็คือ เทคโนโลยีด้านกฎระเบียบ (RegTech) โดยบล็อกเชนเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามาผลักดันและสร้างความเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศน์ของ RegTech
ยกตัวอย่าง สกุลเงินคริปโต มีมูลค่าอุตสาหกรรมมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ ที่ต้องมีกรอบการกำกับดูแล มีการดำเนินการทางด้านกฎระเบียบทางกฎหมายที่ชัดเจน เพราะสินทรัพย์หรือการเงินดิจิทัล คือ กระบวนการทางการเงินที่ไร้ขอบเขตของพรมแดนและภูมิศาสตร์หรือระบบนิเวศทางกายภาพ ซึ่งทำให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ขึ้น สามารถปลดล็อกสินทรัพย์มูลค่าหลายล้านล้านดอลลาร์ เช่น มูลค่าหุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ ต่างๆ
และนั่นคือสิ่งที่จีนกำลังทำอยู่ตอนนี้ โดยคณะกรรมการปฏิรูปหลักทรัพย์ของจีน หรือ สำนักงาน ก.ล.ต. ของจีน กำลังแปลงหุ้นและพันธบัตรทั้งหมดเป็นดิจิทัลและวางไว้บนบล็อกเชน เพื่อเขียนเส้นทางสายไหมใหม่สู่การเป็นผู้นำการเงินดิจิทัลของโลก และเชื่อมโยงเครือข่ายไปกว่า 230 ประเทศทั่วโลก พร้อมวางโครงสร้างพื้นฐานใหม่คือ Silk Road แบบดิจิทัล ซึ่งเป็นบล็อกเชนอินเทอร์เน็ตแห่งความไว้วางใจ
เพิ่มประสิทธิผลของเงินขึ้นเป็น 3 เท่า
![](http://www.cioworldbusiness.com/wp-content/uploads/2023/10/Reuben-Lim-e1697185552215-217x300.png)
ด้าน รูเบน ลิม COO, สมาคมฟินเทคสิงคโปร์ ให้ความเห็นว่า “ปัจจุบัน ฟินเทค สามารถครองตลาดได้ทั้งหมด เนื่องจากเทคโนโลยีในภาคการเงิน ถ้าย้อนกลับไปในอดีตมีเพียง MasterCard, Visa และผู้คนที่มีความต้องการที่ยืดหยุ่น ทำให้แทบไม่มีโอกาสของการครอบงำตลาดได้เลย ซึ่งบริษัททางการเงินเหล่านี้มียอดการทำธุรกรรมหลายล้านล้านดอลลาร์ทุกวัน”
“ดังนั้นในบางแง่มุมก็นับว่าเป็นความสะดวกที่เพิ่มเข้ามาของเทคโนโลยีเช่นกัน และความสะดวกดังกล่าวนี้ก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตลาดการเงินที่เพิ่มขึ้นด้วย นั่นก็เพราะความสามารถของเทคโนโลยี
ในอดีต การทำธุรกิจหากต้องการชำระเงินผ่านธนาคารหนึ่งต้องใช้เวลาถึง 3 วัน เพื่อรอรับเงินที่โอนจากธนาคารหนึ่งไปยังอีกธนาคารหนึ่ง แต่เมื่อปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ว จะสามารถลดเวลาลงเหลือเพียงไม่กี่นาที และยังสามารถเพิ่มประสิทธิผลของเงินขึ้นเป็น 3 เท่าได้
เนื่องจากบล็อกเชนเข้าไปช่วยตัดกระบวนการบางอย่าง และเพิ่มความปลอดภัยในการบันทึกธุรกรรมแทน ทำให้ความเร็วในการทำธุรกรรมเพิ่มขึ้น เงินก็จะมีสภาพคล่องให้กับธุรกิจมากขึ้น
โลกฟินเทค ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า
แนวโน้มของ FinTech ในอนาคตจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก User centric มากขึ้น โดยมีสองเทรนด์ที่ตลาดต้องให้ความสำคัญดังนี้
เทรนด์แรกก็คือ การเงินฝังตัว (Embed Finance) แนวโน้มการลงทุนในการเงินแบบฝังตัวที่กำลังพุ่งสูงขึ้น ซึ่งการเงินแบบฝังตัวนั้นเป็นบริการทางการเงินโดยผู้ให้บริการที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน
ยกตัวอย่างเช่น การบริการรถสารธารณะอย่าง Grab หรือ Uber มีการธุรกรรมทางการเงินมากมาย ภายในแอปเหล่านั้น ดังนั้นในอนาคต จะได้เห็นการเงินแบบฝังตัวอยู่ในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น และในอนาคตมันจะเป็นสิ่งที่ค่อนข้างท้าทายสำหรับธนาคาร ในการสร้างความแตกต่างทางด้านบริการให้เกิดขึ้น
แน่นอนว่าในอนาคตผู้คนอาจจะไม่ไปธนาคารอีกต่อไป เนื่องจากมีผู้ให้บริการรายอื่นๆ อีกมากมายที่พร้อมจะโต้ตอบกับผู้บริโภคและนำเสนอบริการทางการเงิน ที่หลอมรวมเข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันมากขึ้นผ่านทางแอปพลิเคชัน
เทรนด์ที่ 2 คือ การจัดการข้อมูลอัจฉริยะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้ามาสร้างความได้เปรียบในการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า ด้วยข้อมูลที่ในทุกวันนี้เป็นมากกว่าทองคำ ข้อมูลมีมูลค่าในตัวเอง ข้อมูลเหล่านี้นี้สามารถผลักดันให้เกิดเศรษฐกิจดิจิทัลได้
ดังนั้น ประโยชน์ของการแบ่งปันข้อมูลโดยได้รับความยินยอมแลกกับการรับบริการที่ดีขึ้น เมื่อรวมข้อมูลเหล่านั้นจากภาคส่วนอื่นๆ เช่น ภาคสาธารณูปโภค ภาคโทรคมนาคม เข้าไว้ด้วยกันก็จะสามารถช่วยผู้คนในการวางแผนการเงินของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกเหนือจาก 2 เทรนด์ดังกล่าวแล้ว ด้านเศรษฐกิจในอนาคตจะยากขึ้น การเข้าถึงการเงินจะเข้มงวดมากขึ้น ก่อให้เกิดแนวคิด ความยั่งยืน ก็มีความสำคัญ เพราะโลกของเรากำลังจะตาย ทุกคนจึงต้องมีส่วนร่วมในการช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นเรื่อยๆ
และอีกแนวโน้มที่สำคัญคือ การขยายการธนาคาร ธนาคารไหนก็ตามที่สามารถจัดหาโซลูชันหรือฟังก์ชันของการให้บริการได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นก็จะเป็นข้อได้เปรียบ และนั่นคือสาเหตุที่ธนาคารต่างๆ พยายามผลักดันขอบเขตของการให้บริการ ให้ขยายบริการออกไปให้ได้มากที่สุด
รวมถึงเพิ่มในส่วนของการให้บริการลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง ที่แต่เดิมจะต้องใช้ต้นทุนมากในการให้บริการ โดยธนาคารเหล่านี้จะหาวิธีลดต้นทุน แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อขยับไปสู่การเป็นธนาคารแถวหน้าของโลกต่อไปในอนาคต