Tuesday, April 23, 2024
NEWS

ลุมพินี วิสดอมฯ แนะ 3 นวัตกรรมป้องกันฝุ่น PM 2.5 ในที่อยู่อาศัย

ลุมพินี วิสดอมฯ แนะ 3 นวัตกรรมทางเลือกป้องกันฝุ่น PM 2.5 ภายในที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตเพื่อสุขอนามัยที่ดีด้วยงบไม่เกินหลักหมื่นบาท

ประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด

ระพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) กล่าววา ปัจจุบันสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ทวีความรุนแรงขึ้น และกลายเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี นับตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน

โดยจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-มีนาคม และเบาบางลงในช่วงเดือนเมษายน ของปี จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีการเจ็บป่วยที่สูงกว่าคนในวัยอื่นซึ่งเกิดจากการได้รับสัมผัสมลพิษทางอากาศมาเป็นเวลานาน ทำให้ในปัจจุบันมีผู้ประกอบการพัฒนานวัตกรรมเพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อนำมาใช้ในการ แก้ไขปัญหาฝุ่นโดยเฉพาะภายในที่อยู่อาศัย โดยสามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงอาคารและที่อยู่อาศัยเดิม และสำหรับการก่อสร้างและการพัฒนาที่อยู่อาศัยใหม่

“นวัตกรรมเพื่อป้องกันฝุ่น PM 2.5 ภายในอาคารและที่อยู่อาศัยกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน ถึงแม้ต้นทุนในการพัฒนาจะสูงขึ้น แต่จากสภาพแวดล้อมในปัจจุบันและแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นในอนาคต การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ให้ความสำคัญเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องของสภาพอากาศที่ปลอดฝุ่นภายใน เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกคนต้องให้ความสำคัญ” ประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

จากแนวโน้มดังกล่าว “ลุมพินี วิสดอมฯ” ได้ศึกษา 3 นวัตกรรมเป็นทางเลือกที่ป้องกันฝุ่น PM 2.5 และเพิ่มคุณภาพอากาศที่ดีภายในที่อยู่อาศัย ประกอบด้วย

สร้างพื้นที่สีเขียวภายในที่อยู่อาศัย (Passive Design)

ปัญหาฝุน PM2.5 เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ทั่วโลก เป็นผลจากการพัฒนาอุตสาหกรรม การใช้เครื่องยนต์ในระบบฟอสซิล จึงเกิดนวัตกรรมการขจัดมลภาวะและ PM 2.5 เกิดขึ้นทั่วโลก นวัตกรรมที่น่าสนใจและสามารถนำมาปรับใช้ภายในที่อยู่อาศัยในประเทศไทยได้ในแบบที่เป็น Passive Design คือ London City Trees หรือ แผงกรองมลพิษด้วยต้นมอสจากอังกฤษ เทียบเท่าต้นไม้ 275 ต้น ระบบนี้เป็นการนำมอสสายพันธุ์ต่างๆ มาบรรจุอยู่ในหอคอยทรงสูง

ซึ่งมอสจะผลิตออกซิเจนและช่วยดักจับฝุ่นละอองในอากาศได้เป็นอย่างดี ผลการศึกษา London City Trees พบว่ามีคุณสมบัติช่วยเก็บความชื้นและมีคุณสมบัติเทียบเท่าต้นไม้กว่า 275 ต้น โดยใน City Trees มีระบบจัดการน้ำที่มีศักยภาพทำให้สามารถทนได้ในทุกสภาพอากาศ และยังทำหน้าที่เก็บข้อมูลสภาพอากาศโดยรอบเพื่อนำไปวิเคราะห์และแก้ปัญหาสภาพอากาศได้อีกด้วย

ปัจจุบัน London City Trees ตั้งอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน Leytonstone ถนน High Road และถนน Crownfield ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งแนวทางดังกล่าวสามารถมาปรับใช้ในประเทศไทยได้ และสามารถปรับมาใช้ในที่พักอาศัยได้โดยการปลูกต้นไม้ในพื้นที่อยู่อาศัยเพื่อให้ช่วยในการดักจับฝุ่นละอองในอากาศ

จากรายงานเรื่อง Interior Landscape Plants for Indoor Air Pollution Abatement เป็นการศึกษาค้นคว้าขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซา (NASA) ร่วมกับ Associated Landscape Contractors of America (ALCA) ได้ค้นพบว่า ไม้ประดับธรรมดาที่ปลูกในบ้านหรือที่ใช้ตกแต่งห้อง ต่าง ๆ ก็มีประสิทธิภาพในการดูดซับและกำจัดสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศ เช่น สารฟอร์มาลดีไฮด์ ไตรคลอโรเอทิลีน เบนซิน และสารมลพิษอื่น ๆ ได้ และราคาไม่แพง เช่น เดหลี พลูด่าง กล้วยไม้ เยอบีร่า ว่านหางจระเข้ ลิ้นมังกร เป็นต้น

นวัตกรรมวัสดุดักจับและฟอกอากาศ(AIR ION)

ปัจจุบันผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างหลายๆ ค่ายมีการนำนวัตกรรมดักจับฝุ่นและฟอกอกาศ เข้าไปใส่ในวัสดก่อสร้างเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและตอบโจทย์กับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน เช่น การพัฒนานวัตกรรมกระเบื้องฟอกอากาศ (AIR ION)  ที่สามารถดักจับฝุ่นละอองขนาดต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าฝุ่นจิ๋ว ตัวการสำคัญสามารถดักจับฝุ่น PM 2.5 ได้ถึง 89% พร้อมเพิ่มมวลอากาศสดชื่นภายในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง

กระเบื้องฟอกอากาศ คือ นวัตกรรมกระเบื้อง ที่ผสมจากแร่ธาตุธรรมชาติ Tourmaline บนผิวหน้ากระเบื้อง ปล่อยประจุไอออนลบในระดับ 3,000 ions/cm3 เพื่อเข้าดักจับฝุ่น โดยฝุ่นลดลงไปถึง 89% ภายในระยะเวลา 30 นาที โดยกระเบื้องดังกล่าว สามารถติดตั้งโดยปูได้ทั้งพื้นและกรุผนัง

แต่ถ้าให้ดีที่สุดควรติดตั้งบริเวณผนังเพื่อการดักจับฝุ่นที่ลอยในอากาศ ซึ่งอยู่ในระยะการหายใจของมนุษย์  และเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดในการช่วยดักจับฝุ่น ควรติดตั้งประมาณ 40% ของพื้นที่ภายในห้อง ซึ่งเทียบเท่ากับ ผนัง 2 ด้าน หรือ พื้น+ผนัง 1 ด้าน จะช่วยลดฝุ่นภายในบ้านได้เยอะ แถมยังสามารถใช้งานได้ตลอดการติดตั้ง โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ยิ่งใครที่อยู่คอนโดฯ ก็ยังช่วยประหยัดพื้นที่มากขึ้น ไม่ต้องติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ หรือเครื่องกรองอากาศให้เปลืองพื้นที่อีกด้วย

นวัตกรรมการฟอกอากาศ และ ระบบแรงดันบวก (Positive Air Pressure)

การติดตั้งเครื่องฟอกอากาศัย และการปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยโดยการนำระบบแรงดันบวก(Positive Air Pressure) เป็นอีกนวัตกรรมหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แก้ไขปัญหาฝุ่นละออง และ PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในปัจจุบันเครื่องปรับอากาศหลายยี่ห้อมีการติดตั้งระบบฟอกอากาศเข้าไปในระบบปรับอากาศด้วย ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน

นอกจากเครื่องฟอกอากาศแล้ว ปัจจุบันได้มีการนำนวัตกรรมแรงดันบวก หรือ Positive Air Pressure เข้ามาติดตั้งในที่อยู่อาศัยทุกประเภท โดยหลักการของระบบดังกล่าวคือ ติดตั้งพัดลมอัดอากาศที่มี Filter กรองฝุ่นและเชื้อโรค โดยเจาะผนังอาคารเป็นช่องนำอากาศเข้า นอกจากกรองฝุ่นและเชื้อโรคแล้ว ยังเป็นการเติมก๊าซอ๊อกซิเจน (O2) เข้ามาภายในบ้านด้วย ฝุ่นและเชื้อโรคต่างๆรวมถึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(Co2) ก็จะถูกผลักผ่านการรั่วซึมตามรอยต่อประตูหน้าต่างนั่นเอง

จากการตรวจสอบของ “ลุมพินี วิสดอมฯ” ตามรายงานของ Xiaomi ระบุว่าการติดตั้งระบบ Positive Air Pressure สำหรับห้องขนาด 50 ตารางเมตรอยู่ที่ ประมาณ 9,500 บาท และอยู่ที่ 11,000 บาท สำหรับพื้นที่ขนาด 80 ตารางเมตร

จากการศึกษาของ “ลุมพินี วิสดอม”  พบว่าการปรับสภาพที่อยู่อาศัยเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดจากฝุ่น PM 2.5 มีตั้งแต่ค่าใช้จ่ายหลักร้อย ไปจนถึงหลักหมื่นต้นๆ ขึ้นอยู่กับการเลือกและขนาดของห้อง ถ้าเทียบกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล

ซึ่งเป็นผลจาก PM 2.5 แล้ว การลงทุนเพื่อปรับปรุงสภาพที่อยู่อาศัยให้ปลอดจากฝุ่น PM 2.5 ไม่แพงและคุ้มค่าสำหรับการลงทุนทั้งเพื่อการปรับปรุงที่อยู่อาศัย หรืออาคารที่ใช้งานเดิม และไม่ทำให้ต้นทุนในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสูงขึ้นมากนักเมื่อเทียบกับคุณค่าด้านสุขอนามัยที่ส่งมอบให้กับลูกค้า

“ผมเชื่อว่าต่อไปการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมนวัตกรรมลดฝุ่น PM 2.5 จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยทุกประเภท ที่ไม่ใช่อุปกรณ์เสริมอีกต่อไป” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว