Friday, December 5, 2025
ArticlesColumnistDr.Kriengsak Chareonwongsak

ดร.แดน เปิดข้อเสนอ แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน

ดร.แดน ห่วง รัฐแก้หนี้ครัวเรือนปลายเหตุ-ไม่ครอบคลุมทั้งระบบ แนะ ข้อเสนอมาตรการระยะสั้น 7 ประการ แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ผสานมาตรการระยะยาว ควบคู่ เปลี่ยนพฤติกรรมคนไทย หนุน จูงใจเพิ่มการออม-ลดหนี้

.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ (ดร.แดน) ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD) และนักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวถึงประเด็นหนี้ครัวเรือนไทย แก้อย่างไรให้ยั่งยืน ว่า “การเป็นหนี้คือความทุกข์ที่สุด ใครเป็นหนี้เหมือน สุนัขจนตรอก อยู่ในกำมือของเจ้าหนี้ โดยเฉพาะหนี้บริโภค หรือหนี้ที่เกิดจากการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือบริโภคเกินตัว เป็นอันตรายมาก” 

สถานการณ์ หนี้ ในประเทศไทย

“ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มาจาก หนี้บริโภค โดยครัวเรือนไทยมีอัตราส่วนหนี้ต่อ GDP ณ ไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ประมาณร้อยละ 86.8 หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 18.78 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ราวร้อยละ 82 และแม้จะลดลงจากระดับสูงสุดในไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ร้อยละ 90 แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่น่ากังวล” 

“ซึ่งแต่ละครัวเรือนมีหนี้โดยเฉลี่ย 7 แสนบาท เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 22 จากปีก่อน โดยพบว่า เป็นหนี้ในระบบ ร้อยละ 65 ส่วนหนี้นอกระบบมีประมาณร้อยละ 35 ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก เพราะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด และอาจมีความรุนแรงในการทวงหนี้”

“สร้างความหวาดกลัวและทำให้ผู้กู้บางรายเลือกชำระหนี้นอกระบบก่อน แม้จะต้องละเลยหนี้ในระบบก็ตาม นอกจากนี้ หนี้เสีย หรือ NPL (Non-Performing Loan) ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและภาคอสังหาริมทรัพย์ ทำให้หนี้ครัวเรือนกลายเป็น กับดักหนี้ ที่แก้ได้ยาก 

ประเมินอุปสรรคหลายประการสกัดนโยบายแก้หนี้

ทั้งนี้ ดร.แดน ได้วิพากษ์เชิงนโยบายแก้หนี้ครัวเรือนของรัฐบาลนายอนุทิน ว่า แม้รัฐบาลได้ออกนโยบายจัดการหนี้ครัวเรือนและหนี้เสีย ทั้งการพักชำระหนี้รายย่อย, การตั้งกองทุนบริหารหนี้รายย่อย (AMC) เพื่อรวบรวมและซื้อหนี้เสีย (NPL) ข้ามสถาบันการเงินสำหรับมูลหนี้ที่ต่ำกว่า 100,000 บาท 

และมาตรการลดดอกเบี้ย และขยายงวดการชำระหนี้ เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อยและผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก  (SME) ก็ตาม แต่ก็ยังมีข้อจำกัดสำคัญหลายประการ คือ 

ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการอาวุโส ประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD)

ประการแรก ปัญหาฐานข้อมูลและการบูรณาการข้อมูลหนี้ ซึ่งลูกหนี้หนึ่งรายอาจมีหนี้หลายบัญชี หรือมีเจ้าหนี้หลายราย ทั้งในและนอกระบบ แต่ระบบข้อมูลหนี้ของประเทศยังแยกส่วนกัน ขาดฐานข้อมูลกลางที่เชื่อมโยงระหว่างธนาคารของรัฐ เอกชน สถาบันที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) และหนี้นอกระบบ ส่งผลให้การประเมินศักยภาพการชำระหนี้ไม่ตรงตามความเป็นจริง 

ส่วนข้อกังวลประการที่ 2 เรื่องเกณฑ์การคัดกรองที่ไม่ครอบคลุม ซึ่งการใช้เกณฑ์คัดกรองเป็น มูลหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท เพียงอย่างเดียว แม้เป็นความตั้งใจแก้ไขปัญหาหนี้รายย่อย แต่ลูกหนี้ที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวอาจไม่ใช่รายย่อยจริง เพราะไม่ได้พิจารณาหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ที่มีต่อเจ้าหนี้ทุกราย 

และเกณฑ์นี้อาจไม่สะท้อนความสามารถในการชำระหนี้จริงของลูกหนี้ เพราะไม่ได้พิจารณาสัดส่วนหนี้ต่อรายได้หรือ Debt Service Ratio (DSR) จึงอาจส่งผลให้กลุ่มเปราะบางบางรายไม่ได้รับความช่วยเหลือ ขณะที่บางรายที่มีรายได้สูงกว่าอาจได้รับสิทธิ์แทน

ขณะที่ ความเสี่ยงประการที่ 3 คือ ด้านพฤติกรรม (Moral Hazard) ของประชาชน ดร.แดน มองว่า นโยบายพักหนี้และโอนหนี้เสียไป หากกองทุนบริหารหนี้รายย่อย ดำเนินการโดยไม่ระมัดระวัง อาจสร้าง แรงจูงใจผิด ทำให้ลูกหนี้บางรายจงใจไม่จ่ายหนี้ 

เพราะคาดว่า รัฐบาลจะช่วยเหลือหรืออาจรอให้มีโครงการใหม่มาล้างหนี้ คล้ายกับกรณีหนี้กองทุน กยศ. ในอดีต ความเข้าใจเช่นนี้อาจบั่นทอนวินัยทางการเงิน เพราะจะยิ่งทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้น และยังเป็นการส่งสัญญาณ ซื้อเสียงทางอ้อม 

โดยประเด็นกังวลที่ 4 คือ การไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ เพราะถือเป็น นโยบายจานด่วน ที่แก้ปลายเหตุ โดยไม่ได้จัดการปัจจัยโครงสร้าง เช่น รายได้ที่ไม่เพียงพอ ผลิตภาพแรงงานต่ำ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ลดลง และอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หากไม่แก้ที่ต้นตอของปัญหาด้วย ปัญหาหนี้ก็จะกลับมาอีกในอนาคต 

และประการที่ 5 คือ ปัญหาเชิงบริหารและแรงจูงใจของสถาบันการเงิน แม้ธนาคารมีสภาพคล่อง แต่กลับไม่กล้าปล่อยกู้ เพราะกลัวหนี้เสียเพิ่มขึ้น ขณะที่ AMC ที่ตั้งขึ้นใหม่ต้องบริหารเชิงพาณิชย์เพื่อให้เกิดผลตอบแทน ไม่ใช่เพียงกลไกชั่วคราว 

หากขาดระบบติดตามและประเมินผล จะทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ลูกหนี้หลังได้รับการช่วยเหลือแล้วจะกลับมาสร้างหนี้ใหม่หรือไม่ นอกจากนี้ ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า ธนาคารจะกลับมาปล่อยกู้มากขึ้นหรือไม่

ข้อเสนอ 7 มาตรการระยะสั้นเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน

ดร.แดน มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน โดยมาตรการระยะสั้น เสนอให้รัฐบาล 7 เรื่องคือ 

1) จัดตั้งศูนย์รวมข้อมูลเครดิตลูกหนี้ทั้งในและนอกระบบ พร้อมขึ้นทะเบียนเจ้าหนี้นอกระบบ 

2) ตั้ง คลินิกแก้หนี้ โดยกำหนดดอกเบี้ยและค่างวดตามพฤติกรรมทางการเงิน (Behavior-based) 

3) ควรพิจารณาหนี้ทั้งหมดเสมือนเป็นบัญชีเดียว โดยบูรณาการข้อมูลหนี้ทั้งหมดจากทุกบัญชีของลูกหนี้ เพื่อพิจารณาเสมือนรวมทุกบัญชีให้เป็นบัญชีเดียว เพื่อปรับโครงสร้างหนี้และปรับค่างวดให้เหมาะกับรายได้ 

4) ไกล่เกลี่ยหนี้ (ให้จบเร็วภายใน 30 วัน) โดยจัดให้มีระบบไกล่เกลี่ยออนไลน์/นอกเวลาราชการ และลดค่าธรรมเนียมศาลสำหรับรายย่อย 

5) จัดระบบ Step-up payment โดยผ่อนปรนการชำระหนี้ในช่วงรายได้ผันผวน โดยเฉพาะเกษตรกรที่มีรายได้ตามฤดูกาล 

6) สนับสนุนนายจ้างเป็นผู้ป้องกันต้นทาง โดยการจัดสวัสดิการช่วยชำระหนี้ ปลดหนี้ และให้ความรู้ทางการเงิน 

และ7) ให้แรงจูงใจเจ้าหนี้ในการไกล่เกลี่ยหนี้ เช่น ให้เครดิตภาษีแก่เจ้าหนี้ (ธนาคารและเอกชน) ที่ยอมปรับโครงสร้างหนี้ ยืดหนี้ ลดหนี้ หรือตัดจบหนี้ได้

ผสานการวางมาตรการระยะยาว ช่วยสร้างการแก้หนี้อย่างยั่งยืน

ขณะเดียวกันต้องมีมาตรการระยะยาว โดย ดร.แดน เสนอว่า ต้องมีการ กำหนดเพดานดอกเบี้ยตามความเสี่ยงจริงของลูกหนี้ ไม่ใช้อัตราดอกเบี้ยเดียวกันกับทุกคน ต้องมี Positive Credit / Payback Score โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกหนี้ดีเพื่อสร้างแรงจูงใจ 

นอกจากนั้นต้อง รีเซ็ต NPL บางส่วน เพื่อไม่ให้ประวัติค้างในเครดิตบูโร จะสามารถให้กลับมาขอสินเชื่อได้ ควรผูกสวัสดิการรัฐกับการชำระหนี้ เพื่อจูงใจให้ลูกหนี้ชำระหนี้ เพื่ออยากได้รับสวัสดิการ การประกันรายได้ หรือ ประกันค่างวดชำระ โดยใช้ร่วมจ่าย (Co-pay) เพื่อชำระเบี้ยประกัน โดยเฉพาะลูกหนี้ที่รายได้ไม่แน่นอน 

การสร้างแรงจูงใจให้ออมและลงทุนก่อนใช้จ่าย เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมจากการก่อหนี้บริโภคเป็นหนี้ลงทุน และการออมเพื่อลงทุนก่อนใช้เพื่อบริโภค เช่น ลดหย่อนภาษีสำหรับเงินออมหรือการลงทุน

นอกจากนี้ดร.แดน ยังเสนอมาตรการระวังการบิดเบือนกลไกทางการเงิน โดยควร ต้องกำหนดราคารับซื้อหนี้เข้า AMC ให้โปร่งใส โดยใช้ระบบ e-Auction และสูตรราคาตามข้อมูลจริง การไม่ล้างหนี้แบบเหมารวม แต่ใช้หลักการชำระหนี้ ตามศักยภาพที่จ่ายได้จริง ของแต่ละคน (pay-as-able) และ หลักความเข้ากันได้ของแรงจูงใจ (incentive-compatible) 

โดยออกแบบให้ ลูกหนี้ยิ่งมีวินัยมาก ยิ่งได้ส่วนลดมาก เจ้าหนี้ก็ได้เงินคืนเร็วและลดหนี้เสีย ทั้งนี้ต้องมีการกำกับ Non-bank เพื่อป้องกันการเก็บค่าธรรมเนียมแฝงและขายหนี้เพื่อเก็งกำไรระยะสั้น และ Monitoring & Evaluation รายไตรมาส เพื่อติดตามประสิทธิผลและผลกระทบต่อระบบการเงิน 

ส่วนมาตรการสุดท้าย ควรเน้นการแก้พฤติกรรมแบบยั่งยืน โดยปรับ Mindset สร้างวัฒนธรรม “ออมก่อน ใช้ภายหลัง” และพัฒนา Financial Literacy หรือการวางแผนการเงิน การหาช่องทางเพิ่มรายได้ และรู้เท่าทันมิจฉาชีพ

“การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนไทยไม่อาจทำได้ด้วยมาตรการเดียว แต่ต้องอาศัย การวางรากฐานเชิงโครงสร้าง ที่ครอบคลุมทั้งรายได้ การใช้จ่าย และพฤติกรรมทางการเงิน รัฐบาลควรใช้แนวทางบูรณาการทั้งระยะสั้นและระยะยาว พร้อมส่งเสริมความรู้ทางการเงินให้ประชาชนหลุดพ้นจากวงจรหนี้ในที่สุด ปัญหานี้ไม่ใช่เพียงเรื่องเศรษฐกิจ แต่คือความมั่นคงของครอบครัวไทยและเศรษฐกิจไทย” ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวสรุป

Featured Image: freepik