Saturday, June 21, 2025
ArticlesColumnistDr.Kriengsak Chareonwongsak

สหรัฐฯ ขึ้นภาษี 36%: จุดเปลี่ยนทิศทางเศรษฐกิจโลกและการตั้งรับเชิงยุทธศาสตร์ของไทย

Reciprocal Tafiff

บทวิเคราะห์จากมุมมองของผู้เขียน ถึงผลกระทบที่ไทยต้องเผชิญ พร้อมเสนอ แนวทางการรับมือและยุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อผ่อนแรงกระแทกจากนโยบายสหรัฐฯ เปลี่ยนวิกฤตในครั้งนี้ให้กลายเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และยกระดับบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศ

​การกลับมาของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ คนที่ 47 สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างฉับพลัน หนึ่งในนโยบายสำคัญที่ประกาศเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2025 คือ การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า Reciprocal Tafiff จากประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 โดยเฉพาะประเทศที่มีสหรัฐฯ มองว่า ได้เปรียบอย่างไม่เป็นธรรม

ไทยซึ่งมีสหรัฐเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่ง และเกินดุลการค้าอย่างต่อเนื่องถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 8 ของประเทศที่ถูกเก็บภาษีสูงสุด โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเกษตรแปรรูป ที่ถูกกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสูงสุดถึงร้อยละ 36 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 เมษายน 2025

(อ่านประกาศ Regulating Imports with a Reciprocal_Tariff to Rectify Trade Practices that Contribute to Large and Persistent Annual United States Goods Trade Deficits)

มาตรการดังกล่าว เป็นการส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ ต้องการคงไว้ซึ่งการเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลก และสะท้อนถึงการดำเนินนโยบายแบบเศรษฐกิจชาตินิยม 

ผู้เขียนจึงได้วิเคราะห์ผลกระทบที่ไทยต้องเผชิญ พร้อมเสนอ แนวทางการรับมือและยุทธศาสตร์เชิงรุก เพื่อผ่อนแรงกระแทกจากนโยบายสหรัฐฯ เปลี่ยนวิกฤตในครั้งนี้ให้กลายเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และยกระดับบทบาทของไทยในเวทีระหว่างประเทศ

1. ผลกระทบที่ไทยต้องเผชิญจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ

การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ซึ่งสามารถจำแนกผลกระทบสำคัญได้ดังนี้

ผู้เขียน: ศ.ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ นักวิชาการอาวุโส มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดประธานสถาบันการสร้างชาติ (NBI) ประธานสถาบันอนาคตศึกษาเพื่อการพัฒนา (IFD) ผู้เชี่ยวชาญ เศรษฐศาสตร์ นโยบายการศึกษา การต่างประเทศ สังคม การเมือง การศึกษา

1.1 ต้นทุนสินค้าสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อยอดส่งออกทันที สินค้าไทยจะมีราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ เมื่ออัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าไทยในตลาดสหรัฐฯ พุ่งสูงถึงร้อยละ 36 ความสามารถในการแข่งขันของสินค้าสำคัญจะลดลงทันที ทั้งกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ และเกษตรแปรรูป 

ยอดคำสั่งซื้อมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตที่ไม่มีฐานการผลิตในประเทศอื่น ส่งผลกระทบต่อทั้งรายได้ภาคเอกชน การจ้างงาน และเสถียรภาพในภาคอุตสาหกรรมส่งออก

1.2 ความเชื่อมั่นนักลงทุนลดลง กระทบเศรษฐกิจมหภาค นักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ และพันธมิตร ลดระดับความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย จากความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านนโยบายการค้าและแนวโน้มอัตราภาษีที่ไม่แน่นอน หรือเลื่อนการตัดสินใจลงทุนออกไป 

ส่งผลให้เงินลงทุนใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจน้อยลง ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการเติบโตในระยะสั้น แต่ยังอาจทำให้โครงการสำคัญของประเทศ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี ต้องชะลอตัว ซึ่งจะกระทบต่อศักยภาพการแข่งขันของประเทศลดลงในอนาคต

1.3 ปัญหาการว่างงาน ความเหลื่อมล้ำและผลกระทบต่อเศรษฐกิจฐานราก การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาคแรงงาน ทั้งในอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรภาคแรงงานในอุตสาหกรรมส่งออกอาจเผชิญกับการลดชั่วโมงทำงาน เลิกจ้าง หรือการปิดสายการผลิต ผู้ประกอบการที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ต้องปรับตัว เช่น ลดกำลังการผลิต หรือลดต้นทุนด้านแรงงาน ซึ่งซ้ำเติมความเปราะบางด้านรายได้

ขณะที่ภาคเกษตรกรรมต้องรับผลกระทบจากสินค้าส่งออกที่ล้นตลาดภายในประเทศ เนื่องจากราคาขายที่สูงขึ้นจากต้นทุนภาษี ทำให้ไม่สามารถแข่งขันและส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ ได้ตามปกติ ผลที่ตามมา คือ สินค้าจึงถูกระบายกลับสู่ตลาดในประเทศ ทำให้เกิดภาวะ สินค้าล้นตลาด และทำให้ราคาผลผลิตตกต่ำและรายได้ของเกษตรกรลดลง ซึ่งอาจซ้ำเติมทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นด้วย

ที่มา: กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP), กระทรวงพาณิชย์ รายงานสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศ, ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH Bank) รายงานบทวิเคราะห์เศรษฐกิจเรื่อง ผลกระทบของมาตรการ Reciprocal Tariff สหรัฐฯ ปี 2025, รายงานคำสั่งประธานาธิบดี (Executive Order) วันที่ 2 เมษายน 2568, Infographic generated by ChatGPT.com

2. แนวทางการรับมือและยุทธศาสตร์เชิงรุก

เพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน รัฐบาลไทยจำเป็นต้องตอบสนองต่อสถานการณ์นี้อย่างเป็นระบบ แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ดังต่อไปนี้ 

2.1 นโยบายที่ไทยต้องดำเนินการในระยะสั้น

1) เร่งเจรจาต่อรองกับสหรัฐฯ อย่างมีเงื่อนไข ไทยควรเสนอให้มีการปรับอัตราภาษีแบบรวดเร็วตามสถานการณ์หรือแบบรายเดือน โดยผูกโยงกับระดับดุลการค้า หากไทยนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น หรือส่งออกลดลง อัตราภาษีนำเข้าจากไทยควรลดลงโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ไทยมีแรงจูงใจในการรักษาดุลการค้าอย่างเป็นรูปธรรม

2) เปลี่ยนการเจรจาจากรายประเทศสู่กลุ่มพันธมิตร รัฐบาลไทยควรใช้จังหวะนี้เรียกประชุมประเทศขนาดเล็กและขนาดกลางทั่วโลกที่ได้รับผลกระทบจากสหรัฐ เพื่อจัดทำข้อเสนอร่วมในการเจรจา แบบเป็นทีม เพื่อสร้างอำนาจต่อรองต่อแนวนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของสหรัฐฯหากประเทศเหล่านี้เจรจาร่วมกัน จะมีอำนาจต่อรองมากกว่าต่างคนต่างเจรจา

3) ปรับปรุงดุลการค้ากับสหรัฐให้ดีขึ้น ผ่านมาตรการเชิงรุก ไทยควรดำเนินมาตรการ 4 ด้านควบคู่กัน ได้แก่

  • ประการที่หนึ่ง สั่งการให้กรมศุลกากรปรับลดภาษีนำเข้า สินค้าใดที่สามารถลดภาษีลงได้ ให้ปรับลดภาษีลงโดยมีกำหนดเวลาที่ชัดเจน และ ช่วยผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบโดยการชดเชย และ ช่วยลดต้นทุนผู้ส่งออก เช่น ลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ เป็นต้น
  • ประการที่สอง ย้ายการนำเข้าสินค้าจากประเทศที่สาม ไปยังสหรัฐฯ ภาครัฐอาจย้ายการนำเข้าสินค้าบางรายการจากประเทศอื่นมานำเข้าจากสหรัฐฯ แทนหรือช่วยอุดหนุนสินค้านำเข้าจากสหรัฐ เพื่อทำให้ราคาถูกลงและนำเข้าได้มากขึ้น
  • ประการที่สาม อุดหนุนการส่งออกไปยังตลาดประเทศอื่น เช่น ยุโรป อินเดีย แอฟริกา ทำให้การส่งออกไปยังสหรัฐลดลง ซึ่งจะช่วยทำให้ไทยเกินดุลการค้าจากสหรัฐฯ ลดลง
  • ประการที่สี่ ส่งเสริมการลงทุนในสหรัฐ ช่วยสร้างงานสหรัฐ ในอุตสาหกรรมที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันและควรจะไปอยู่แล้ว เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

4) ใช้กลไกนักท่องเที่ยวในการส่งออกสินค้าไทย วิธีส่งออกที่สร้างสรรค์ผ่านนักท่องเที่ยวคือ ใช้นักท่องเที่ยวเป็นผู้ขนส่งสินค้า ข้อมูลปี 2567 พบว่า มีนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ มาเยือนประเทศไทยประมาณ 1 ล้านคน ภาครัฐอาจอำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวสหรัฐฯ นำสินค้าจากไทยกลับไปยังสหรัฐฯ 

เช่น ปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบสินค้า ลดภาษีหรือค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ข้อมูลและบริการที่ชัดเจนเกี่ยวกับข้อกำหนดในการนำสินค้าออกจากประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าไทย

2.2 นโยบายที่ไทยต้องดำเนินการในระยะกลาง

1) สนับสนุนการย้ายฐานการผลิตอย่างชาญฉลาด ส่งเสริมผู้ประกอบการไทยย้ายฐานไปยังประเทศที่ไม่ถูกเก็บภาษีสูง เช่น ประเทศในแอฟริกา ซึ่งจะช่วยรักษาการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ และขยายเครือข่ายการผลิตสู่ตลาดใหม่

2) ลงทุนในห่วงโซ่ใหม่ สร้างความสามารถในการผลิตสินค้าขั้นกลางในประเทศ และสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ลดการพึ่งพาชิ้นส่วนจากภายนอก สร้าง ภูมิคุ้มกัน ให้ระบบการผลิตไทยจากแรงกระแทกภายนอก

3) ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับโลก เป็นหัวจักรพยุง จีดีพี หากไทยยังพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักเพียงอย่างเดียว ก็เสี่ยงจะตกเป็นเป้าในสงครามภาษีของมหาอำนาจโลก

ไทยจึงควรพัฒนาการท่องเที่ยว ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจาก 40 ล้านเป็น 80 ล้านคนภายใน 5 ปีโดยใช้พลังของอาหาร วัฒนธรรม และบริการสุขภาพครบวงจร สร้าง Super Soft Power ทางเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น และเสริมรากฐานเศรษฐกิจจากฐานล่างอย่างยั่งยืน

2.3 นโยบายที่ไทยต้องดำเนินการในระยะยาว

ไทยควรใช้โอกาสนี้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโดยการส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดต้นทุนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ดังนี้

1) ตั้งกลุ่มการค้าเสรีใหม่ นอกเหนือจากสหรัฐฯ และจีน เมื่อสหรัฐฯ ถอยออกจากระเบียบโลกแบบเดิม ไทยควรก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในการรวมกลุ่มประเทศที่ยังเชื่อมั่นในการค้าเสรี เปิดเสรีภาพให้กับสินค้า บริการและแรงงาน โดยใช้ระบบเดิมอย่าง RCEP, CPTPP เป็นฐาน

และพัฒนาแนวคิดใหม่ร่วมกัน ไทยจะกลายเป็นศูนย์กลางของ ขั้วที่สาม ที่ไม่ยึดติดกับอิทธิพลของสหรัฐฯ หรือจีน แต่มีจุดยืนของตนเองอย่างมั่นคง จะเป็นการสร้างบทบาทนำของไทยในระเบียบเศรษฐกิจโลกยุคถัดไป

2) พลิกวิกฤตภาษีให้เป็นโอกาสในการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจหากจีดีพีส่งออกลดลง ไทยต้องพึ่งพาการเติบโตจาก 4 จุดแกร่งประเทศ (4 Thailand’s Niches) ได้แก่ การท่องเที่ยวคุณภาพ (Tourism) สุขสภาพ (Wellness) อาหาร (Food) และการดูแลผู้สูงอายุครบวงจร (Elderly) 

ไทยมีทรัพยากร วัฒนธรรม และความพร้อมด้านบุคลากรที่จะเป็นผู้นำในทั้ง 4 ด้าน หากใช้วิกฤตนี้เป็นจังหวะในการจัดโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ จะเปลี่ยนวิกฤตภาษีให้กลายเป็น จุดเริ่มต้นของไทยในเวทีโลกยุคใหม่

แนวนโยบายภาษีใหม่ของสหรัฐฯ (Reciprocal Tafiff) คือจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจโลกที่ไทยต้องไม่เพียงตั้งรับ แต่ต้องใช้เป็นโอกาสเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ สร้างพันธมิตรใหม่ ย้ายฐานผลิตอย่างชาญฉลาด และขับเคลื่อนจุดแกร่งของไทย เพื่อเปลี่ยนวิกฤตเป็นจุดเริ่มต้นของบทบาทใหม่บนเวทีโลก

อ่าน การประกาศและช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลง Reciprocal Tariff >> 2025 U.S. tariffs

อ่านบทความทั้งหมดของ ดร.เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์

Featured Image: Whitehouse.gov